IMURATHAILAND

อาหารที่มะเร็งชอบ ควรเลี่ยง!

อาหารที่มะเร็งชอบ ควรเลี่ยง

5 อาหารมะเร็งชอบ ควรเลี่ยง

5 อาหารที่มะเร็งชอบ ควรเลี่ยงรับประทาน

หากจะพูดถึงเรื่องการรับประทานแล้วละก็คงจะเป็นความสุขของใครหลายๆคนรวมถึงผู้เขียนด้วยเช่นกัน ที่จะมีความสุขไปกับการกินของอร่อยและของที่โปรดปรานเรียกว่าหยุดกินไม่ได้เลยทีเดียว แต่ทว่าการกินที่เราไม่เลือกคัดสรร อาหารเหล่านี้อาจจะอร่อยในปาก แต่อาจจะลำบากในร่างกายของเราก็เป็นได้ และที่ว่านี้คืออาหารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง หรือ อาหารที่มะเร็งชอบ ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่มากมาย วันนี้เลยจะขอนำอาหาร 5 ประเภท ที่มีโอกาสทำให้เกิดมะเร็งได้ง่าย และควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้

อาหารแปรรูป(อาหารที่มะเร็งชอบ)

หลายคนคงชื่นชอบอาหารแปรรูปกัน เพราะเป็นอะไรที่สะดวกสบาย แค่ฉีกซองใส่เวฟ หรือนำไปทอด

อาหารแปรรูปต่างๆ

อาหารแปรรูป (อาหารที่มะเร็งชอบ)มีอะไรบ้าง

ไส้กรอก กุนเชียง เบคอน มักมีส่วนผสมจาก “ดินประสิว” หรือ “โปตัสเซียมไนเตรต” ซึ่งเป็นส่วนประกอบ แม้จะทำให้อาหารดูน่ารับประทานและเก็บรักษาได้นาน แต่ก็เป็นของโปรดของมะเร็งร้ายเช่นกัน เป็นอาหารเสี่ยงมะเร็งที่ควรระวัง หรือควรทานให้น้อยลง

อาหารที่มีโซเดียมสูง

อาหารโซเดียมสูง (อาหารที่มะเร็งชอบ)

อาหารที่มีโซเดียมสูงมีอะไรบ้าง คืออาหารจำพวกของหมักดองต่างๆ อาหารที่ใส่ผงชูรสในปริมาณมาก ๆ เมื่อเรารับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ปริมาณเกลือโพแทสเซียมลดลง จึงส่งผลให้ภูมิต้านทานในร่างกายของเราลดลงตามไปด้วย จึงทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร และหลอดอาหารได้ เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน

อาหารปิ้งย่าง

อาหารปิ้งย่าง (อาหารที่มะเร็งชอบ)

อาหารปิ้งย่างของโปรดใครหลายๆ คงนึกถึงหมูย่าง เนื้อย่างโคขุน อย่าเพิ่งน้ำลายสอกันนะคะทุกคน เพราะอาหารปิ้งย่างนั้นก็เป็นอีกหนึ่งของโปรดของมะเร็งร้าย โดยอาหารเหล่านี้มักมีสารพีเอเอช (PAH หรือ Polycyclic Aromatic Hydrocarbon) ซึ่งเกิดจากควันที่ลอยขึ้นมาจับอาหาร เมื่อไขมันในเนื้อสัตว์ ที่หยดลงไปโดนถ่านไฟนั่นเอง ถือเป็นอาหารเสี่ยงมะเร็งที่ต้องระวังเป็นพิเศษด้วยนะคะ

อาหารทอดน้ำมันใช้ซ้ำ

อาหารทอด ใช้น้ำมันซ้ำ (อาหารที่มะเร็งชอบ)

อาหารที่ผ่านการทอดน้ำมันซ้ำๆ เราคงจะคิดออกกันบ้างเป็นเมนูที่หลายๆคนชอบ เช่น ปาท่องโก๋ หมูทอด หรือของทอดที่เราใช้น้ำมันซ้ำ ซึ่งมักปนเปื้อนสารก่อมะเร็งที่เกิดจากการแตกตัวของน้ำมันที่เสื่อมสภาพ ไม่เฉพาะผู้บริโภคเท่านั้น ผู้ขายที่สูดดมไอระเหยของน้ำมันทอดซ้ำนี้ไปมาก ก็เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดเช่นกัน อันตรายทั้งผู้ประกอบอาหารและผู้บริโภคกันเลยนะคะ

อาหารที่มีเชื้อรา

อาหารที่มีเชื้อรา (อาหารที่มะเร็งชอบ)

อาหารที่มีเชื้อราที่ผลิตอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) นั้น เมื่อกินเข้าไปสารนี้จะสะสมในตับ ก่อให้เกิดมะเร็งตับได้ เชื้อราเหล่านี้มักขึ้นตามอาหารเช่น ธัญพืช ถั่ว ขนมปัง ข้าวโพด พริก นม ฯลฯ เป็นอาหารที่บางครั้งหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ก็ควรเลือกทานให้น้อยลงนะคะ

นอกจากนี้ ผลการวิจัยทางการแพทย์ยังพบว่าเซลล์มะเร็งเติบโตได้ดีจากน้ำตาล ดังนั้น ลดทานหวาน ลดการทานน้ำตาล จะทำให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งมากขึ้น หรือทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตช้าลง จนตรวจพบโรคได้ทันในระยะแรกๆ จึงควรลดระดับน้ำตาลที่ทาน เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง


เราได้ทราบเกี่ยวกับอาหารที่มะเร็งชอบ แต่เราควรหลีกเลี่ยงไปแล้ว งั้นเรามาดูว่าแล้วอาหารชนิดใดที่เราควรรับประทาน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งกันค่ะ


10 อาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง

10 อาหารช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง

มะเร็ง คืออะไร

มะเร็ง คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย โดยมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ รวดเร็ว จนเกิดมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ พบได้ในทุกเพศและทุกวัย พบบ่อยในผู้สูงอายุ ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย


แล้วโรคมะเร็งเกิดขึ้นได้อย่างไร สาเหตุส่วนใหญ่มาจากไหน


มะเร็งเกิดจาก การถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่ามีการถ่ายทอดเซลล์มะเร็งจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งเสมอไปนะคะ
แต่อาจจะเกิดจากความผิดปกติของร่างกาย เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว, ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ ภาวะทุพโภชนาการ ที่เกิดจากภาวะที่ร่างกายได้รับอาหารผิดสัดส่วนทั้งขาดและเกิน จึงส่งผลให้ร่างกายเกิดความไม่สมดุล

การสัมผัสหรือได้รับสารก่อมะเร็ง อย่างเช่น ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มสุราเป็นประจำ การได้รับเชื้อราที่มักจะปนเปื้อนมากับอาหารประเภทอัลฟาท็อกซิล การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง การรับประทานที่ใส่ดินประสิวเป็นประจำ ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารรสเค็มจัดและอาหารส่วนที่ไหม้เกรียม ไปจนผู้ที่โดนแสงแดดจัดและได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตเป็นเวลานานและเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังได้เช่นเดียวกัน

แต่ถ้าหากว่าอาหารบางชนิดเชื่อว่าทำให้เกิดมะเร็ง หรือ อาหารที่มะเร็งชอบ แต่ก็ยังมีอาหารหลายชนิดที่แสดงผลตรงข้าม ต่อต้านเซลล์มะเร็ง ลดโอกาสที่จะเกิดมะเร็งได้ ซึ่งมีหลายผลการทดสอบที่รองรับว่า มีอาหารที่ลดโอกาสการเกิดมะเร็งหลายชนิด

หลังจากทราบแล้วว่าอาหารที่มะเร็งชอบ ตอนนี้จะพามารู้จักอาหารลดความเสี่ยงก่อให้เกิดโรคมะเร็งค่ะ

1. ผัก

ผักหลายชนิดที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักสีเข้มทุกสี (เช่น ผักโขม แครอท มะเขือเทศ), ผักจำพวกกะหล่ำ (เช่น กะหล่ำปลี บล็อกโคลี กะหล่ำดอก), หัวหอม และ กระเทียม

2. ถั่ว

อุดมไปด้วยโปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย มีผลดีต่อสุขภาพ มีกากใยอาหารตามธรรมชาติ ขับถ่ายได้สะดวก แล้วยังลดโอกาสเกิดเซลล์ผิดปกติในร่างกาย ได้แก่ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง และตระกูลถั่วต่างๆ เป็นต้น

3. ธัญพืช

ช่วยด้านสุขภาพ ต้านมะเร็งก็ดี อุดมด้วยวิตามินบี ลดความดันโลหิตได้เป็นอย่างดีเช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ข้าวโพด ข้าวสาลี

4. สาหร่ายทะเล

เป็นแหล่งแร่ธาตุชั้นดี เต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกายมากมาย มีให้เลือกทานหลายชนิด

5. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

หาทานง่าย มีประโยชน์มากมาย ทั้งวิตามินหลายชนิด และกากใยอาหาร ทานสดจะได้คุณค่าสูงกว่าปั่นเป็นน้ำ ทั้งสตอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ เชอร์รี่

6. ปลาอุดมด้วยไขมัน

ส่วนใหญ่จะเป็นปลาทะเล ปลาน้ำเย็น ที่มีไขมันปลาที่ดีต่อร่างกาย อุดมด้วยโอเมก้า 3 เช่น แซลมอน ปลาคอท ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน

7. เครื่องเทศ

เครื่องเทศในไทยที่ใส่เครื่องแกงต่างๆ ช่วยต้านมะเร็ง และกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ดี แล้วยังมีอีกหลายอย่างที่นำมาทำอาหารได้อร่อย เช่น เก๋ากี้ พริกไทย กระเทียม หัวหอม ขิง โรสแมรี่

8. โยเกิร์ต

ไม่ได้มีประโยชน์แค่เรื่องการขับถ่าย และช่วยควบคุมน้ำหนักได้เท่านั้น แต่ยังช่วยต้านมะเร็ง เพราะมีสารอนุมูลอิสระ ช่วยการหมุนเวียนของโลหิต และชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย หรือจะลองกรีกโยเกิร์ต ที่เข้มข้นกว่า สารอาหารมากกว่า และมีโปรไบโอติกส์ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ดีกว่าด้วย

9. เห็ด

ไม่ว่าจะเป็นเห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดออรินจิ และอื่นๆ ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด มีเส้นใยอาหารที่ช่วยเรื่องการย่อย และการขับถ่ายให้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีวิตามินต่างๆ ที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย

10. น้ำดื่มสะอาด

การดื่มน้ำสะอาดนั้นช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้คล่องตัวขึ้น เป็นตัวกลางสำคัญที่จะทำให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการนำพาเอาของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเราควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายหรืออย่างน้อยวันละ 2 ลิตร


วิธีลดมะเร็งโดยไม่ต้องพึ่งยาและ เลี่ยงอาหารที่มะเร็งชอบด้วยนะคะ

นอกจาก การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สามารถลดความเสี่ยงจากมะเร็งได้ด้วยวิธีแบบธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ยา เช่น


  • หมั่นตรวจสุขภาพ ตรวจโรคมะเร็งเสมอ
  • เลิกสูบบุหรี่
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมน้ำหนัก
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • ไม่อยู่กลางแดดจัดนานเกินไป
  • หลับพักผ่อนให้เพียงพอ

พฤติกรรมที่ควรทำและควรเลี่ยงเพื่อห่างไกลโรคมะเร็ง


  • งดสูบบุหรี่และอยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่ รวมถึงหลีกเลี่ยงการดื่มสุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการและรับประทานอาหารอย่างสมดุล โดยรับประทาน
  • อาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานผักผลไม้ที่หลากหลาย เน้นการรับประทานอาหารประเภทธัญพืชและอาหารที่มีเส้นใยมากขึ้น ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
  • อย่ารับประทานอาหารที่หมดอายุหรือมีเชื้อรา
  • ลด หรืองดเว้นการรับประทานอาหารจำพวกปิ้ง ย่าง และหมักดอง
  • หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดหรืออยู่ในที่มีแสงแดดจัดเป็นเวลานาน ๆ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องหาอุปกรณ์เพื่อช่วยป้องกันร่างกายหรือผิวหนังจากแสงแดด และควรทาครีมกันแดดทั้งผิวหน้าและผิวกาย
  • ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆที่ทำให้เกิดความเครียด
  • ตรวจร่างกายประจำปีเป็นประจำทุกปี
    หากสงสัยว่าตัวเองมีอาการปกติซึ่งเป็นอาการของโรคมะเร็งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเคล็ดลับดีๆ เมนูอาหารที่เราควรเลี่ยงและเราควรรับประทาน เพื่อลดความเสี่ยงสำหรับโรคมะเร็งต่างๆนั้น คงจะพอช่วยให้หลายๆ ท่านได้ระวังกันไม่มากก็น้อย เพื่อสุขภาพของเราเอง และหากเราอยากป้องกันด้วยการเสริมอาหารขอแนะนำอาหารเสริมเพิ่มภูมิคุ้มกันอย่าง อิมูร่า แค่วันละ 1 ซอง ก่อนนอนทุกคืน ก็จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ดีป้องกันโรคร้ายอย่างมะเร็งได้อีกด้วย อีกทั้งช่วยให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ได้รับความสดชื่นเมื่อตื่นนอนอีกดวย สั่งซื้อได้ที่ www.imurathailand.com

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคร้ายใกล้ตัวคุณที่ไม่อาจมองข้าม

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง-imurathailand

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เกิดจากอะไร ก่อนที่เราจะไปทราบรายละเอียดกันนั้น เราต้องจะต้องดูส่วนประกอบกันก่อนว่าในร่างกายกายเรานั้น มีต่อมน้ำเหลือง และระบบน้ำเหลืองในร่างกายของเรานั้นประกอบด้วยอะไร และสาเหตุการเกิดอาการ การป้องกันโรคร้ายนี้ทำอย่างไร มาดูกันค่ะ

ต่อมน้ำเหลือง รู้กันดีอยู่แล้วว่าร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วยน้ำเหลือง และเลือด แล้วระบบน้ำเหลืองสำคัญกับเราอย่างเรา

ระบบน้ำเหลืองคืออะไร

ระบบน้ำเหลือง (Lymphatic System) คือการเชื่อมต่อระหว่างเนื้อเยื่อ หลอดเลือด และอวัยวะในร่างกายเพื่อไหลเวียนของเหลวไร้สี ที่เรียกอีกอย่างว่า “น้ำเหลือง) ให้กลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต

น้ำเหลืองจะไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย คล้ายกับการไหลเวียนของเลือด

หน้าที่หลัก ของระบบน้ำเหลือง มีอะไรบ้าง (เรามาดูกันค่ะ)

-รักษาความสมดุลระดับน้ำในร่างกาย โดยการสะสมน้ำส่วนเกินที่ไหลออกมาจากเซลล์และเนื้อเยื่อ แล้วส่งกลับเข้าสู่กระแสเลือด

-ดูดซึมไขมันและวิตามินที่ละลายในไขมัน ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร แล้วส่งคืนกลับเข้าสู่กระแสเลือด

-ป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ โดยการผลิตเม็ดเลือดขาวชนิดลิมไฟไซต์ (Lymphocyte) รวมถึงเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ ที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายเช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เป็นต้น  ลำเลียงและกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติออกจากน้ำเหลือง

ส่วนประกอบของน้ำเหลือง

ระบบน้ำเหลืองเป็นอะไรที่ซับซ้อน ดังนั้นวันนี้จะมาแยกแยะส่วนต่างๆให้ดูกันค่ะว่าน้ำเหลืองมีส่วนใดบ้าง

-น้ำเหลือง คือของเหลวส่วนเกินที่ไหลออกมาจากเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย รวมเข้ากับสารอื่นๆ เช่น โปรตีน แร่ธาตุ ไขมัน เซลล์น้ำเหลืองช่วยลำเลียงเซลล์เม็ดเลือดขาวไปยังจุดต่างๆ ในร่างกาย เพื่อช่วยปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคและการติดเชื้อต่างๆ

-ต่อมน้ำเหลือง มีลักษณะคล้ายเม็ดถั่ว ทำหน้าที่คอยสังเกตุการณ์และกรองเอาของเสียและเซลล์มะเร็งออกจากน้ำเหลือง นอกจากนี้ยังผลิตและเก็บเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ และเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ ที่จะโจมตีรวมถึงกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเราอีกด้วย

ในร่างกายคนเรานั้นจะมีต่อมน้ำเหลืองอยู่ประมาณ 600 ต่อม ซึ่งกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วร่างกาย และเมื่อร่างกายเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ ต่อมน้ำเหลืองก็มักจะตอบสนองด้วยการบวมขึ้น เพราะมีการสะสมของเซลล์เม็ดเลือดขาว เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อจุลินทรีย์อื่นๆ ที่อยู่ในต่อมน้ำเหลือง

-ท่อน้ำเหลือง ทำหน้าที่ในการลำเลียงน้ำเหลืองไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย ท่อน้ำเหลืองนั้นจะรวบรวมเซลล์และน้ำเหลืองส่วนเกิน ก่อนจะนำไปกรองที่ต่อมน้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง ทำงานคล้ายกับหลอดเลือด แต่จะมีแรงดันในท่อน้ำเหลืองที่ต่ำกว่ามาก และมีวาล์วสำหรับเปิดปิดเพื่อช่วยให้น้ำเหลืองไหลไปในทิศทางเดียวกัน

-ท่อรวบรวม คือท่อที่เชื่อมต่อระหว่างท่อน้ำเหลืองกับหลอดเลือดดำ ทำหน้าที่นการส่งน้ำเหลืองคืนเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ปริมาณและแรงดันของเลือดอยู่ในระดับที่ปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อมากเกินไปอีกด้วย

โรคที่เกี่ยวกับระบบน้ำเหลืองที่พบได้บ่อย 

-มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
-ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ
-โรคบวมน้ำเหลือง


วันนี้จะนำโรคที่เกี่ยวกับน้ำเหลืองที่เป็นโรคอันดับต้นๆ ที่พบบ่อยในคนไทยเลยก็ว่าได้ นั่นคือ “โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง”


“มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” เป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่อยู่ใกล้ตัวเรา และไม่ควรมองข้ามเช่นกัน ควรใส่ใจและให้ความสำคัญ โดยการสังเกตตนเองอยู่เสมอ เมื่อพบเจอสิ่งผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ทันท่วงที เพื่อรีบรักษา

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คืออะไร?

โรคที่มีเนื้องอกร้ายชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองหรือโครงสร้างต่อม ซึ่งระบบน้ำเหลืองก็เป็นระบบหนึ่งของภูมิคุ้มกัน ประกอบไปด้วย อวัยวะน้ำเหลือง ได้แก่ ม้าม และไขกระดูก ซึ่งภายในอวัยวะเหล่านี้จะเต็มไปด้วยน้ำเหลือง  มีหน้าที่นำสารอาหารและเซลล์เม็ดเลือดขาวไปทั่วร่างกาย และเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้เกิดความผิดปกติ จึงทำให้เกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขึ้นมา

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถเกิดได้ในทุกที่ในร่างกาย เพราะต่อมน้ำเหลืองมีอยู่ทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น คอ รักแร้ ข้อพับแขน ข้อพับขา ช่องอกหรือช่องท้อง แต่ยังไงก็ตามเซลล์น้ำเหลืองก็ยังอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็นลำไส้ หรือกระเพาะ จึงสามารถเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้หมดทุกที่

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการคาดการณ์เบื้องต้นพบว่ามีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

  • ปัจจัยทางเคมี วัตถุทางเคมีที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น สารเคมีปราบศัตรูพืช น้ำยาย้อมผม เป็นต้น
  • ปัจจัยทางภูมิคุ้มกัน ผู้ที่มีสมรรถภาพภูมิคุ้มกันโรคลดลง เช่น โรคเอดส์ การปลูกถ่ายอวัยวะ โรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น
  • ปัจจัยทางพันธุกรรม การเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้น มีความชัดเจนที่เกิดมาจากกรรมพันธุ์ทางครอบครัว เช่น พี่น้องอาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตามลำดับ หรือเป็นพร้อมกัน สาเหตุจากไวรัส การติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัส HIV เป็นต้น

ปัจจุบันมีการตรวจวินิจฉัยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ดีขึ้นมาก ส่งผลทำให้อัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น เนื่องจากการรักษาที่ดีขึ้น สำหรับวัยที่ตรวจพบมะเร็งต่อมน้ำเหลือง สามารถพบได้ในกลุ่มวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 20 ปีถึง 40 ปี  ทั้งนี้ก็ยังมีการตรวจพบในผู้สูงอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป

อาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

คลำพบก้อนที่บริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ โดยก้อนเหล่านั้นจะไม่มีอาการเจ็บ ต่างจากการติดเชื้อที่จะมีอาการเจ็บที่ก้อนเนื้อ มีไข้ หนาวสั่น มีเหงื่อออกมากในกลางคืน เบื่ออาหาร น้ำหนักลดเร็ว  อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ ไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก ต่อมทอนซิลโต ปวดศีรษะ ซึ่งอาการนี้มักพบบริเวณต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท แต่บางครั้งการคลำเจอก้อนก็อาจไม่ใช่ก้อนมะเร็งเสมอไป เพราะอาจเป็นเรื่องของการอักเสบจากการติดเชื้อ หรืออาจเป็นตัวโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่มะเร็ง


มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถรักษาให้หายเด็ดขาดได้ ถ้าไม่ได้อยู่ในระยะแพร่กระจาย จึงควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอ หากคลำเจอก้อนเวลาอาบน้ำก็ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อการรักษาได้อย่างทันท่วงที


สำหรับระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 พบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพียงตำแหน่งเดียว เช่น บริเวณลำคอด้านซ้าย หรือบริเวณรักแร้ด้านขวา บริเวณใดบริเวณหนึ่ง

ระยะที่ 2 พบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่สองตำแหน่งขึ้นไป แต่จะต้องอยู่ด้านเดียวกันของกระบังลม เช่น บริเวณคอด้านซ้าย และคอด้านขวา หรือคอซ้ายกับรักแร้ซ้าย

ระยะที่ 3 พบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งส่วนบนและส่วนล่างของกระบังลม เช่น มีต่อมน้ำเหลืองโตที่รักแร้ร่วมกับที่ขาหนีบ

ระยะที่ 4 โรคจะกระจายออกนอกระบบน้ำเหลือง เช่น เกิดที่ไขกระดูก หรือเนื้อเยื่ออวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด สมอง กระดูก

วิธีการตรวจหามะเร็งต่อมน้ำเหลือง

แพทย์จะทำการซักประวัติคนไข้ และตรวจร่างกายเป็นลำดับ หรือตัดชิ้นเนื้อของต่อมน้ำเหลืองออกไปตรวจทางพิษวิทยา ส่วนการรักษาจะใช้วิธีการให้ยาเคมีบำบัด จำนวนครั้งในการให้ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่ดูแลในเคสนั้นๆ

ซึ่งการรักษาโรคนี้จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลอยู่ หากตัวโรคมีความรุนแรงมากจะใช้วิธีการฉายแสงจากภายนอก หรือในคนไข้ที่มีข้อห้ามในเรื่องของการให้ยาก็จะได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้เช่นกัน
โดยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะไม่ต้องผ่าตัด เนื่องจากเป็นโรคที่ตอบสนองต่อยาและแสงเคมีบำบัดมากๆ อยู่แล้ว

วิธีการดูแลตนเองสำหรับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนี้ คือ

พยายามทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาจจะเน้นอาหารที่มีพลังงานเยอะ เช่น ไข่ขาว หรืออาหารที่มีโปรตีนสูงก็ช่วยได้ เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ แต่ควรหลีกเลี่ยงพวกยาชุด ยาชุด ยาหม้อ ยาลูกกลอน และควรออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยให้สุขภาพดี

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
อ. พญ.กีรติกานต์ บุญญาวรรณดี
หน่วยรังสีรักษา และมะเร็งวิทยา
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

5 โรคมะเร็งคร่าชีวิตคนไทย

5โรคมะเร็งคร่าชีวิตคนไทย

โรคมะเร็ง หากท่านใดเคยพบหรือเคยป่วยด้วยโรคนี้มาก่อนคงเรียกได้ว่าเหมือนโลกมืดไปทั้งใบเลยก็ว่าได้ เพราะคงไม่มีใครอยากป่วยเป็นโรคมะเร็ง วันนี้เราจะนำอันดับโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตคนไทยเรามากที่สุดมาจัดอันดับ เพื่อที่เราจะได้ระวัง ป้องกัน เพื่อห่างจากโรคมะเร็งร้ายเหล่านี้ค่ะ

“รู้ไว้ก็ไม่เสียหายนะคะ กับ 5 อันดับมะเร็งที่พบมากในคนไทย”

โรคมะเร็ง เรียกได้ว่าเป็นสาเหตุต้นๆ ของการเสียชีวิตสำหรับคนไทยเลย นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังคงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโรคมะเร็งจะมีโอกาสเกิดขึ้นกับคนอายุน้อยที่เริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้นแล้ว ผลกระทบจากภายในและภายนอกร่างกาย ก็ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเกิดโรคมะเร็งได้เช่นกัน


แล้วเรามีโอกาสที่จะเลี่ยงให้ไกลจากโรคมะเร็งนี้ได้หรือไม่


ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งนั้น ยังไม่มีใครสามารระบุชัดเจนได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด เพราะร่างกายของแต่ละคน และสุขภาพของแต่ละบุคคลนั้น มีการใช้ชีวิตประจำวันที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนั้นพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นเหตุกระตุ้นทำให้เกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นมีหลายปัจจัย วันนี้จะยกตัวอย่างให้ดูค่ะ

  • อายุ
  • กรรมพันธุ์
  • ความไม่สมดุลทางฮอร์โมน
  • การรับประทาน
  • สูบบุหรี่
  • การใช้สารเคมี
  • ออกกำลังกาย

ปัจจัยเสี่ยงแต่ละรายนั้นไว้รอบหน้าจะแยกออกมาให้ทราบกันอีกทีนะคะ


สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคมะเร็ง มีด้วยกัน 7 สัญญาณ

  1. ระบบขับถ่ายที่เปลี่ยนแปลง
  2. แผลที่ไม่รู้จักหาย
  3. ร่างกายมีก้อนตุ่ม
  4. กลุ้มใจเรื่องการกลืนอาหาร
  5. ทวารทั้งหลายมีเลือดไหล
  6. ไฝ หูดที่เปลี่ยนไป
  7. ไอและเสียงแหบจนเรื้อรัง

หลังจากเรียนรู้เรื่องปัจจัยการเกิดโรคมะเร็งกันไปแล้วถึงคราวอันดับเกิดโรคมะเร็งกับคนไทยเราบ่อยที่สุดกันค่ะ นั่นก็คือ 5 อันดับโรคมะเร็งที่พบในคนไทยมากที่สุด เรามาดูกันว่าทำไมถึงเกิดกับคนไทยเราบ่อยและมากเพราะอะไร และเกิดกับผู้ชายหรือผู้หญิงมากกว่ากัน เราจะได้สำรวจสุขภาพและป้องกันโรคร้ายนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ

5 อันดับ โรคมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย

1.โรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี

โรคมะเร็งตับเป็นโรคที่พบในคนไทยมากที่สุดอันดับ 1 เลยและพบมากสุดในเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึง 3 เท่า ช่วงอายุที่พบคือ 30-70 ปี ในระยะแรกของโรคมะเร็งตับนั้นมักไม่แสดงอาการ ซึ่งกว่าจะทราบการวินิจฉัยก็มักจะอยู่ในช่วงท้ายและไม่สามารถรับการรักษาได้ทัน จึงส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตมากที่สุด

โรคมะเร็งตับมีสาเหตุหลักคือ การได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ การดื่มแอลกอฮอล์ รับสารพิษอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) หรือการได้รับยาบางชนิดและพันธุกรรม เป็นต้น

1.1โรคมะเร็งท่อน้ำดี 

โรคมะเร็งในท่อน้ำดี พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง พบช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในท่อน้ำดีคือการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะปลาน้ำจืดแบบดิบ ทำให้ได้รับตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ตับ เกิดการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่นคนในครอบครัวเป็นมะเร็งในท่อน้ำดี ภาวะท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

2.โรคมะเร็งปอด

โรคมะเร็งปอดเป็นโรคพบมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง สาเหตุหลักของโรคมะเร็งปอดมาจากการสูบบุหรี่ หรือ ได้รับควันบุหรี่ โดยอาการเริ่มแรกมีอาการไอ มีเสมหะ หรือไอมีเลือด เจ็บหน้าอก หายใจดังและถี่ ความอยากอาหารลดลง เป็นต้น

3.โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยทำงาน อาการของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่มักปรากฎให้เห็นเช่น อุจจาระมีเลือดปน น้ำหนักตัวลด มีอาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง เป็นต้น

 4.โรคมะเร็งเต้านม

โรคมะเร็งเต้านม พบมากในผู้หญิงตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในต่อมน้ำนมและท่อน้ำนม โดยสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านมมีหลายปัจจัย เช่น กรรมพันธุ์ อายุ มีประจำเดือนตอนอายุน้อย ๆ หรือหมดประจำเดือนช้ากว่าปกติ เป็นต้น

5.โรคมะเร็งปากมดลูก

โรคมะเร็งปากมดลูก พบในผู้หญิงและมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย พบในช่วงอายุ 30-70 ปี โดยพฤติกรรมที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุหลักๆ คือ เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์  เป็นต้น

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะโรคมะเร็ง5อันดับที่คนไทยเป็นมากที่สุดมันไม่น่าคบหาเลยนะคะ เราต้องดูแลสุขภาพ หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี ออกกำลังกายและทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ควรทานให้ครบ 5 หมู่ และควรหลีกเลี่ยงสารก่อให้เกิดโรคมะเร็งต่างด้วยนะคะ หรือเลือกทานอาหารเสริมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ หรือเลือกดื่ม I.M.U.RA ก่อนนอนสัก 1 ซองช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยให้เราเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดเพชรฆาต เพื่อฆ่าเซลล์ร้ายถ้าหากเจอ หรือไวรัสตัวร้ายได้อีกด้วยค่ะ

ทำไมต้องใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด (immunotherapy ) ป้องกันมะเร็ง 

มาทำความรู้จัก I.M.U.RA กันค่ะว่าคืออะไร?

I.M.U.RA อาหารเสริม สกัดจากธรรมชาติ เพิ่ม NK Cell activity พร้อมResveratrol สกัดจากเปลือกเมล็ดองุ่น, CBDrive วิตามิน B C และ Zinc ทั้งช่วยกำจัดเซลล์ร้าย และฟื้นฟูเซลล์ดี

สารสกัดในอิมูร่า

🌿 ส่วนประกอบของ IMURA สกัดจากธรมชาติทั้งหมดค่ะ นำมาทำเป็นสูตรเข้มข้นเฉพาะสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันชนิด NK Cell ที่ใช้ในการรักษาแบบภูมิบำบัด
⚕️ ต้านความชราของในระดับเซลล์ด้วย resveratrol สกัดจาก Grape Skin
⚕️ กระตุ้นการสร้าง NK Cell ด้วย Vit C , Vit B, Zinc, Bio Magnesium, Cranberry, Blueberry
จำหน่ายอาหารเสริมเพิ่ม Nk Cell-9สารสกัดที่สำคัญ

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนและหลังทำคีโม ด้วย IMURA Chemo Set

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนและหลังทำคีโม ด้วย IMURA Chemo Set

วิธีการรับประทาน

ดื่มวันละ 2 ครั้ง 14 วันต่อเนื่อง ก่อนเข้าทำคีโมบำบัด
และ วันละ 2 ครั้ง 14 วันต่อเนื่อง หลังบำบัด
เลขที่ อ.ย. : 1210516150077
ผลิตและจัดจำหน่ายโดย : บริษัท มามาสิตา จำกัด

สนใจสอบถามได้ที่ 

FB:https://www.facebook.com/imuramamasita
website: https://www.imurathailand.com/
Line OA: @imuramamasita

 

“CANCER WITH ME” ส่งต่อกำลังใจให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกคน

ผู้ป่วยมะเร็ง

สวัสดีค่ะชื่อต่ายเจ้าของเพจ “มาจะเล่าให้ฟัง CANCER WITH ME” เป็นผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะ 4 ค่ะมีแรงบันดาลใจจากการป่วยและอยากให้กำลังใจคนที่ป่วยเหมือนกันจึงอยากส่งต่อกำลังใจให้ทุกๆคน

CANCER WITH ME-www imurathailand

เมื่อชีวิตของเราได้เปลี่ยนไปเพราะมีมะเร็งเข้ามา จะทำอย่างไร?

ต่ายเป็นสาววัยทำงานคนนึงที่ชีวิตกำลังไปได้สวยมากๆ ทั้งหน้าที่การงานชีวิตส่วนตัว และที่สำคัญต่ายกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่เดือน แต่ภารกิจต่างๆต้องถูกพับเก็บไว้ก่อน เนื่องจากหลังวันเกิดอายุ 28 ปีเพียงไม่กี่เดือนต่ายถูกตรวจพบว่ามีก้อนเนื้อขนาดใหญ่ราวๆ 8 cm. อยู่ในช่องอกจากการทำ x-ray ปอดคุณหมอไม่นิ่งนอนใจจับเราทำ CT-SCAN ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจจึงมั่นใจว่าเราเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด (Hodgkin’s) เข้าระยะที่ 4 นอกจากก้อนตรงช่องอก ยังเจอที่ตับด้วยอีกนิดหน่อยตอนนั้นบ้านเราช็อกกันหมดทั้งบ้าน เพราะเราแข็งแรงดีไม่มีสัญญาณใดๆบ่งบอกเลยว่าจะเป็นมะเร็งตอนอายุเท่านี้

CANCER WITH ME

เมื่อรู้แล้วว่ามะเร็งเข้ามาอยู่กับเราแล้ว ต้องทำอย่างไรต่อไป

แน่นอนวันที่รู้ว่ามะเร็ง (cancer) เข้ามาเยือนตัวเราแล้ว ถ้ามัวแต่ตกใจสติหลุดฟูมฟายคงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแน่ๆ เราตั้งสติศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ทั้งกับญาติๆเราที่เป็นคุณหมอและศึกษาข้อมูลงานวิจัยผ่านทาง Internet รวมถึงทั้งปรึกษาคุณหมอเจ้าของไข้ของเราด้วย คุณหมอบอกว่าเราอาจโชคร้ายที่เป็นมะเร็งแต่ก็ยังโชคดีที่เป็นมะเร็งชนิดนี้ เพราะมะเร็งตัวนี้ตอบสนองต่อยาดีมากๆ ต่อให้เป็นระยะ 4 โอกาสในการหายขาดก็มีมากด้วย เราได้ทั้งกำลังใจจากคนรอบข้างและที่สำคัญคือกำลังใจจากตัวเอง

เคมีบำบัดกับการรักษาโรคมะเร็ง-www imurathailand

ขั้นตอนการวางแผนรักษามะเร็ง (CANCER)

คุณหมอวางแพลนให้คีโมบำบัดสูตรที่ 1 (จำนวน 6 Cycle) โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4-5 เดือนเมื่อถึงเวลาที่ต้องเริ่มให้คีโมบำบัดครั้งแรกเราก็ตื่นเต้นมากมันจะแย่ขนาดไหนกันนะได้ยินคนเค้าพูดกันมาว่ามันต้องทรมานอย่างนั้นอย่างนี้สรุปตอนที่ให้ก็เหมือนให้น้ำเกลือปกติเรานั่งคุยกับที่บ้านนั่งทานข้าวอย่างสบายใจแต่หลังจากนั้นประมาณ 3-5 วันเราจะมึนๆต้องรอให้ร่างกายฟื้นตัวก็จะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับเราไม่ค่อยแพ้คีโมเท่าไหร่ไม่เคยอาเจียนเลยสักครั้งเวลาเรากำลังรอฟื้นตัวจากคีโมเราก็จะคิดว่าถ้าเราฟื้นตัวแล้วเราจะทำอะไรดีนะใส่ชุดสวยไปเที่ยวไหนดีใส่วิกอันไหนดี
เราให้คีโมตั้งแต่ต้นจนจบเราก็ยังขับรถไปทำงานประจำของเราตามปกตินะเราคิดตลอดว่าไม่เป็นไรรักษาไปเดี๋ยวมันก็ต้องหายเราใช้ชีวิตค่อนข้างปกติมากๆแค่ระวังตัวมากขึ้นเราจะไม่โฟกัสกับตัวโรคมากจนจิตตกเราถือคติที่ว่าใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกๆวันไม่ว่าจะต้องต่อสู้กับอะไรก็ตาม

เมื่อต้องทำเคมีบำบัดหรือการให้คีโม

ตามคาดเราทำ Pet/CT scan หลังให้ยาเคมีบำบัดไป 3 cycle ผลออกมาดีมากคือก้อนเนื้อยุบลงไปเยอะมากตรงช่องอกจาก 8.8 cmเหลือเพียง 3 cm. กว่าๆเท่านั้นเองตรงตับก็ไม่มีจุดอะไรแล้วแต่โชคอาจไม่เข้าข้างเท่าไหร่เพราะหลังจากจบคอร์สการให้ยา 2 เดือนกลับพบว่าก้อนเนื้อตรงช่องอกกลับยังไม่สงบจริงๆมันยังโตขึ้นมาอีกจากมิลกลับมาเป็นเซนติเมตร แถมยังกระจายไปตรงหลอดลมอีกด้วยคราวนี้ต้องมาวางแผนการรักษาใหม่คือเปลี่ยนยาเคมีบำบัดสูตรใหม่ที่แรงขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าตัว + ให้ยามุ่งเป้าร่วมด้วยพร้อมทั้งตัองปลูกถ่ายไขกระดูกอีกโดยของเราสามารถใช้สเต็มเซลล์ของตัวเองในการปลูกถ่ายได้เพราะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและสามารถเก็บสเต็มเซลล์ได้เกินเป้าที่คุณหมอต้องการตอนนั้นคิดในใจเลยว่าดีจังตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ด้วย

มาถึงวันนี้เรารักษาครบทุกขั้นตอนในระยะเวลา 1 ปีกับอีก 4 เดือนเหลือแค่ยามุ่งเป้าที่ต้องให้ต่ออีกแค่ 6 ครั้งก็ถือว่าจบการรักษาน่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 6 เดือนในระยะเวลาที่ดีใจตลอดผลเลือดเราสามารถรับคีโมได้ตรงตามเวลาที่คุณหมอกำหนดตลอดไม่เคยเลื่อนการรับคีโมเลยเราคิดว่าถ้ากำลังใจจากตัวเราดีแล้วเราสู้ถึงที่สุดแล้วจะแพ้จะชนะยังไงเราถือว่าเราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว

ค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งครั้งนี้

ในเรื่องของค่าใช้จ่ายต้องบอกเลยว่ามหาศาลมากแค่คีโมต่อครั้งก็หลักหมื่นยามุ่งเป้าตกขวดละเป็นแสนในแต่ละครั้งเราต้องใช้ยามุ่งเป้าจำนวน 2 ขวดถ้าตีเป็นเงินคงไม่มีใครอยากนับเลยแต่ยังถือว่าเรายังพอโชคดีบ้างที่สิทธิประกันสังคมคอย Support บางส่วนซึ่งถือว่าช่วยได้มากทีเดียวรวมถึงทั้งต่ายยังไม่ประมาทกับชีวิตโดยการทำประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายเอาไว้ตัวเราเองจึงไม่ค่อยเครียดกับค่ารักษามาก ค่าอาหารเสริมก็หนักเอาการเหมือนกันแต่เราเลือกที่จะยอมจ่ายเพราะเราอาจจะทานอาหารไม่ถึงก็ยังมีอาหารเสริมที่มาคอยช่วยดูแลร่างกายที่โดนคีโมมานับไม่ถ้วนให้ฟื้นตัวไวขึ้นมาบ้าง โดยต่ายเลือกทานอาหารเสริม I.M.U.RA เพราะสารอาหารที่ครบถ้วนช่วยฟื้นฟูร่างกายต่ายได้อย่างดีทีเดียว

บทสรุป

สุดท้ายมะเร็งสอนให้ต่ายรู้ว่าชีวิตของเรามีแค่ชีวิตเดียวไม่ควรประมาทต่อชีวิตทุกสิ่งบนโลกล้วนไม่มีความแน่นอนใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุขมากที่สุดเพราะเราไม่รู้เลยว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตเรา

เคมีบำบัดกับการรักษามะเร็ง

เคมีบำบัดกับการรักษาโรคมะเร็ง-www imurathailand

ปัญหาจากการทำคีโม-เคมีบำบัด

โรคมะเร็ง เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลกและเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ โดยมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับหนึ่ง ได้แก่

  1. มะเร็งปอด
  2. มะเร็งเต้านม
  3. มะเร็งลำไส้ใหญ่
  4. มะเร็งกระเพาะอาหาร

    ส่วนมะเร็งที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่ง คือ

    –  มะเร็งปอด
    – มะเร็งกระเพาะอาหาร
    – มะเร็งตับ
    – มะเร็งลำไส้ใหญ่

นอกจากนี้ยังมีโรคมะเร็งที่พบได้อีก เช่น มะเร็งตับอ่อน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งศีรษะและลำคอ มะเร็งกระดูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ การรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัดเป็นรูปแบบการรักษาที่สำคัญและเป็นการรักษาแรกที่นำมาใช้รักษาโรคมะเร็งที่ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติอีกครั้ง

มะเร็งที่รักษาให้หายขาดได้

โรคมะเร็งที่รักษาให้หายขาดได้ (Curable Cancer) นั้น ส่วนใหญ่ถ้าสามารถวินิจฉัยได้ในระยะเริ่มแรก โดยมากจะรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด เช่น โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น แต่หากวินิจฉัยเมื่อโรคเป็นมากแล้วและมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ มักไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

แต่ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าในการรักษาโรคมะเร็ง ทำให้โรคมะเร็งบางชนิดที่แม้มีการแพร่กระจายไปแล้วก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยโรคมะเร็งที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ (Curable) ด้วยยาเคมีบำบัด ประกอบไปด้วย
1. โรคมะเร็งอัณฑะ
2. โรคมะเร็งเนื้อรก หรือ Choriocacinoma
3. โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด
4. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด

วิธีการรักษาโรคมะเร็ง

การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาแบบสหสาขา หมายถึง การรักษาโดยทีมแพทย์หลายสาขาร่วมกัน ประกอบด้วย
• แพทย์รังสีวินิจฉัย
• แพทย์รังสีร่วมรักษาช่วยในการวินิจฉัย การตัดชิ้นเนื้อเพื่อการวินิจฉัย การฉีดยาเคมีบำบัดเข้าสู่เส้นเลือดแดงที่เลี้ยงก้อนมะเร็งโดยตรง
• ศัลยแพทย์โรคมะเร็งที่ทำการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก
• แพทย์ทางรังสีรักษาที่ให้การรักษาด้วยแสงรังสีรักษา
• อายุรแพทย์มะเร็งวิทยาที่ให้การรักษาทางยา ซึ่งประกอบไปด้วย
◦ การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) นับเป็นการรักษาหลักของการรักษาทางยาที่ใช้มากที่สุดในการรักษาโรคมะเร็งปัจจุบัน  โดยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) อาจใช้เป็นการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอย่างเดียว หรืออาจใช้ยาเคมีบำบัดร่วมกับรังสีรักษาที่เรียกว่า Chemoradiation อาจใช้ยาเคมีบำบัดร่วมกับยามุ่งเป้า หรือยาภูมิคุ้มกันบำบัดได้ โดยขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรคมะเร็ง
◦ การรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมน (Hormonal Therapy) นับเป็นการรักษาที่ใช้รองลงมาจากการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
◦ การรักษาด้วยยามุ่งเป้า (Targeted Therapy)
◦ การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) โดยการพยายามใช้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง

ระยะโรคมะเร็งและแนวทางการรักษา

วิธีการรักษาโรคมะเร็งจะมีแนวทางการรักษาตามระยะของโรคมะเร็งโดยทั่วไปแบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่

• โรคมะเร็งระยะที่ 1 – 2 คือ

โรคมะเร็งระยะแรกที่สามารถผ่าตัดได้ หลังการผ่าตัดผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องให้การรักษาเสริมภายหลังด้วยยาเคมีบำบัดและ / หรือยาต้านฮอร์โมน ที่เรียกว่า Adjuvant Treatment

• โรคมะเร็งระยะที่ 3 คือ

โรคมะเร็งที่มักมีการลุกลามมากขึ้น โดยมีการกระจายไปต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงบางรายสามารถผ่าตัดได้ ศัลยแพทย์ก็จะผ่าตัดก่อน หลังการผ่าตัดผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องให้การรักษาเสริมภายหลังด้วยยาเคมีบำบัด และ / หรือรังสีรักษา และ / หรือยาต้านฮอร์โมน  และ / หรือยามุ่งเป้า  เหตุผลที่มีการนำเอายาเคมีบำบัดและยาอื่น ๆ มาให้เสริมหลังผ่าตัดก็เพื่อลดอุบัติการณ์ของการกลับมาของโรคมะเร็งทั้งแบบเฉพาะที่และแบบแพร่กระจาย ซึ่งท้ายที่สุดจะเพิ่มระยะเวลาการรอดชีวิตของผู้ป่วย
ในบางรายที่โรคเป็นมากและการผ่าตัดอาจทำได้แต่ผลการรักษาอาจไม่ดีเนื่องจากขนาดก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่จึงมีการนำเอายาเคมีบำบัดมาใช้รักษาในระยะเบื้องต้นก่อนการผ่าตัดเพื่อให้ก้อนเล็กลงทำให้ศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดเก็บอวัยวะหรือผ่าตัดเก็บเต้านมได้ จากนั้นก็ให้การรักษาอื่นตามในภายหลัง

ในบางรายที่โรคเป็นมากและการผ่าตัดอาจทำได้แต่ผลการรักษาอาจไม่ดีเนื่องจากขนาดก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่จึงมีการนำเอายาเคมีบำบัดมาใช้รักษาในระยะเบื้องต้นก่อนการผ่าตัดเพื่อให้ก้อนเล็กลงทำให้ศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดเก็บอวัยวะหรือผ่าตัดเก็บเต้านมได้ จากนั้นก็ให้การรักษาอื่นตามในภายหลัง

• โรคมะเร็งระยะที่ 4

หรือโรคมะเร็งระยะที่ 1 – 3 และมีการกลับมาของโรค ผู้ป่วยจะมีโรคลุกลามมากขึ้นและแพร่กระจายไปอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด ตับ กระดูก สมอง และที่อื่น ๆ ซึ่งโรคมะเร็งระยะที่ 4 นี้ โรคมะเร็งบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาเคมีบำบัด เช่น โรคมะเร็งอัณฑะ โรคมะเร็งเนื้อรก เป็นต้น

การรักษาแบบเคมีบำบัดคืออะไร?

การรักษาด้วยเคมีบำบัด หมายถึง การให้ยาซึ่งมีฤทธิ์ทำลายหรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อร้าย บางครั้งอาจมีผลทำให้เซลล์ปกติของร่างกายถูกทำลาย ส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปากอักเสบ เบื่ออาหาร ภูมิต้านทานต่ำ ท้องเสีย ผมร่วง ซึ่งอาการเหล่านี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของยา สภาวะความแข็งแรงของร่างกาย รวมถึงความพร้อมทางด้านจิตใจของผู้ป่วย

วิธีการให้เคมีบำบัดมี 2 วิธี

  • ยาเคมีบำบัดสามารถบริหารเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยได้หลายวิธี ได้แก่
  • เคมีบำบัดชนิดรับประทาน
  • เคมีบำบัดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด

ระยะเวลาในการรักษาด้วยเคมีบำบัด

ระยะเวลาในการรักษาด้วยเคมีบำบัดขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ระยะของโรค และการตอบสนองต่อยา โดยปกติยาเคมีบำบัดจะให้เป็นชุด ใช้เวลา 1-5 วันต่อชุด แต่ละชุดห่างกัน 3-4 สัปดาห์ ซึ่งผู้ป่วยอาจได้รับเคมีบำบัดเฉลี่ย 6-8 ชุด (ขึ้นกับแผนการรักษาของแพทย์) โดยผู้ป่วยควรมารับยาตามนัดทุกครั้งเพื่อผลการรักษาที่ดี

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับเคมีบำบัด

  • ด้านร่างกาย
    รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอและเพิ่มการนอนพักในช่วงกลางวันอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงต่อวัน หากมีโรคประจำตัว เช่น หัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคที่ต้องรับประทานยาเป็นประจำ ต้องแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบ
  • ด้านจิตใจ
    ควรทำอารมณ์และจิตใจให้พร้อมรับการรักษา ลดความกลัวและความวิตกกังวลลง
    มั่นใจในวิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งสามารถลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
    ถ้าท่านรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับโรค การรักษา การดูแลตนเอง ควรปรึกษาแพทย์และพยาบาล

การดูแลตนเองขณะรับเคมีบำบัด

สังเกตผิวหนังบริเวณที่ฉีดยา ถ้ารู้สึกปวด บวม แดง หรือสงสัยมียารั่วซึมออกนอกหลอดเลือด ต้องแจ้งพยาบาลทันที
ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับสารเคมีที่อาจตกค้างในร่างกายออกทางปัสสาวะ
ถ้ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ให้แจ้งพยาบาลทันที

เคมีบำบัด

บทสรุป

อย่างไรก็ตามโรคมะเร็งระยะแพร่กระจายนี้ส่วนมากรักษาไม่หายขาดแต่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้หากผู้ป่วยมีกำลังใจดีมีร่างกายที่แข็งแรงและมีภาวะโภชนาการที่ดีพอสมควร แพทย์จะสามารถให้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ที่เป็นการรักษาหลักในการรักษาโรคมะเร็งระยะแพร่กระจาย โดยยาเคมีบำบัดจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ทั้งที่อยู่เฉพาะที่และที่แพร่กระจายไป ในปัจจุบันมีการนำยามุ่งเป้าหรือยาภูมิคุ้มกันบำบัดมาใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง หากการตอบสนองของผู้ป่วยต่อยาเคมีบำบัดและยาที่ใช้ร่วมด้วยนั้นได้ผลดี การรักษาก็จะเพิ่มระยะเวลาการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้และคุณภาพชีวิตก็จะดีขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้การรักษาอื่นๆของโรคมะเร็งระยะที่ 4 อาจเป็นการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมน การรักษาด้วยยามุ่งเป้า หรือ Targeted Therapy และ ภูมิคุ้มกันบำบัด
(Immunotherapy) แล้วแต่ชนิดของโรคมะเร็ง

อย่างไรก็ตามหน้าที่การรักษาเป็นของคุณหมอ หน้าที่เตรียมร่างกายเป็นของเรา ให้อิมูร่าดูแลคุณในทุกครั้งก่อนและหลังการให้เคมีบำบัด เพื่อเตรียมความพร้อมร่างกายในการรักษาครั้งต่อไป

จำหน่ายอาหารเสริมเพิ่ม Nk Cell-9สารสกัดที่สำคัญ

ทำไมต้องทานอาหารเสริม อิมูร่า ลดอาการหลังรับเคมีบำบัด

อิมูร่าเค้าจะเข้าไปดูแลในส่วนที่เป็นผลกระทบจากคีโมหรือเคมีบำบัด เช่น อาเจียน อักเสบในช่องปากและหลอดอาหาร นอนไม่หลับ การอักเสบทั้งหมดที่เกิดภายใน
กระตุ้นเม็ดเลือดขาว ชนิด nk cell และ nk cell activities ให้เพิ่มขึ้นและทำงานเต็มที่ เพื่อเตรียมร่างกายให้อยู่ในความสมบูรณ์เต็มที่ พร้อมให้เคมีบำบัด ฉายแสง หรือยาพุ่งเป้า
หลังจากที่ทานอิมูร่าแล้ว สารสกัด Resveratrol ในอิมูร่าจะเข้ามาดูแลเรื่องของเซลล์ที่ถูกทำลายจากคีโม เสริมสร้างเซลล์เกิดใหม่ เราเรียกว่าเซลล์เด็ก เมื่อคีโมเข้าร่างกายเค้าทำลายทั้งัเซลล์ร้ายและดีที่ตาย อิมูร่าก็จะเจ้าไปดูตรงนั้น ลดการอักเสบในระดับเซลล์
และยังมีCb drive ช่วยในเรื่องของลดความเจ็บปวด อาเจียน และช่วยเรื่องการนอนหลับค่ะ
CB DRIVE คือ สารสกัดที่ให้ฤทธิ์เทียบเท่ากัญชา ทั้งหมดจะเป็นกลไกการทำงานของอิมูร่า ซึ่งสารสกัดนี้ได้มาจากเมล็ดองุ่น ดังนั้นผู้ป่วยที่จะเริ่มต้นดื่มอิมูร่า ไม่ต้องกังวลว่าจะติดเพราะไม่ใช่สารสกัดจากกัญชาโดยตรง ถึงแม้ว่าจะมีสารสกัดจากน้ำมันกัญชา ซึ่งก็ใช้ปริมาณที่ต่ำมากๆ
อาหารเสริมสำหรับคนทำคีโมหรือเคมีบำบัด

วิธีการดื่มอิมูร่า ลดผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด

ข้อแนะนำควรดื่มอย่างต่อเนื่องทุกวัน เดือนละ 1 กล่อง (1กล่องดื่มได้ 28 วัน)
อย่าลืมว่าเซลล์ที่ถูกทำลายด้วยภาวะของโรค ซ้ำด้วยเคมี มันไม่ง่ายที่จะสร้างตัวเองให้แข็งแรงด้วยซ้ำ อย่างที่ลูกค้าบอกคะ ว่าอนาคตไม่รู้แต่ถ้าเราเตรียมพร้อมไว้

ภูมิคุ้มกันมีมากจนเวลาที่ถูกทำลายด้วยคีโมเค้าก็ยังมีเหลือ แต่ถ้าเราไม่มีอะไรช่วยเลย ทุกๆครั้งของการรับเคมีเข้ามา ถ้าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปมันสร้างได้ไม่พอ หรือช้ากว่าที่จะช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเคมีได้ เวลามันย้อนกลับไม่ได้เพียงวันละไม่ถึง 70 บาท
พร้อมดื่มวันนี้หรือยัง? ดื่มจบตามแผนการรักษา ก็หยุดทานได้ตามปกติ หรือทานต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันไวรัส

 

ผลข้างเคียงคีโมมีอาการใดบ้าง

ผลข้างเคียงจากการทำคีโม-www imura

ผลข้างเคียงจากการทำคีโมมีอาการใดบ้าง

อาการข้างเคียงเหล่านี้มีหลายอย่างที่ป้องกันได้ โดยแพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้พิจารณาให้ยา หรือมาตรการในการป้องกัน อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไข บรรเทา หรือป้องกันอาการดังกล่าวได้ ดังนั้น ท่านจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเองเมื่อได้รับยาเคมีบำบัด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการรักษาจากยาสูงสุด โดยมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ตามที่ผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษาตั้งใจไว้ เรามาดูกันว่าอาการข้างเคียงของผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด หรือ เรียกอีกอย่างว่า คีโม นั้นมีอะไรบ้าง

    1. อาการไข้
    2. คลื่นไส้ อาเจียน
    3. ท้องผูก
    4. ฝ่ามือฝ่าเท้ามีสีแดงหรือดำคล้ำและเจ็บ
    5. อารมณ์แปรปรวนง่าย
    6. โลหิตจาง
    7. เจ็บปากเจ็บคอ
    8. ผมร่วง
    9. ชาปลายมือปลายเท้า
    10. จุดเลือดหรือจ้ำเลือด (ควรพบแพทย์ทันที)
    11. ผิวหนังและเล็บเปลี่ยนสี (ควรพบแพทย์ทันที)
    12. ท้องเสีย

      อาการคลื่นไส้ อาเจียน
       ซึ่งพบประมาณ 50% ของผู้เข้ารับการรักษาทั้งหมด จึงจัดเป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากอาการดังกล่าวทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลีย น้ำหนักลด เกิดภาวะขาดสารอาหารและเกลือแร่ และมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อการรักษาจนอาจมีผลต่อการรักษาได้ ในการป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนนั้นควรเริ่มให้ยาป้องกันตั้งแต่ก่อนการให้ยาเคมีบำบัดต่อเนื่องไป จนกระทั่งเลยช่วงเวลาที่ยาเคมีบำบัดจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน โดยการให้ยาป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียน มีวิธีการให้ยาได้หลายทาง ขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่ใช้ เช่น ชนิดรับประทาน การฉีดเข้าหลอดเลือด การฉีดเข้ากล้าม การสอดเข้าทางทวารหนัก การอมใต้ลิ้น หรือแบบแผ่นแปะผิดหนัง ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานยาทางปากได้

ดังนั้นอาการข้างเคียงเหล่านี้มีหลายอย่างที่ป้องกันได้ โดยแพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้พิจารณาให้ยา หรือมาตรการในการป้องกัน อย่างไรก็ตาม ท่านจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเองเมื่อได้รับยาเคมีบำบัด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการรักษาจากยาสูงสุด โดยมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ตามที่ผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษาตั้งใจไว้

อาการคลื่นไส้อาเจียน-www imura

อาการไข้จากผลข้างเคียงคีโม

อาการไข้ หมายถึง การที่มีอุณหภูมิในช่องปากมากกว่าหรือเท่ากับ 38 องศาเซลเซียส เป็นเวลามากกว่าหรือเท่ากับ 1 ชั่วโมง หรือมีอุณหภูมิรักแร้มากกว่าหรือเท่ากับ 37.8 องศาเซลเซียส

สาเหตุ ไข้อาจเป็นอาการนำของภาวการณ์ติดเชื้อ หรืออาการของโรคมะเร็งเอง อาจพบภาวะเม็ดเลือดขาว (ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้เชื้อโรคต่าง ๆ) ต่ำลงและเกิดการติดเชื้อ
ได้เมื่อท่านได้รับยาเคมีบำบัด สังเกตได้จากอาการไข้ รู้สึกหนาวสั่น เจ็บรอบ ๆ ทวารหนักหลังการให้ยาเคมีบำบัด โดยเฉพาะในช่วง 7-14 วัน หลังได้รับยาเคมีบำบัด

วิธีป้องกันการติดเชื้อโดยทั่วไป

– ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
– หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นไข้หวัดวัณโรค และงูสวัด เป็นต้น
– เมื่อท่านมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีผู้คนแออัด เช่น ตลาด โรงภาพยนตร์ หรือห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
– ดูแลร่างกายไม่ให้อับชื้น อาบน้ำให้สะอาดทุกวัน โดยใช้สบู่อ่อน ๆ เช่น สบู่เด็ก
– ระมัดระวังการใช้ของมีคมทุกชนิด
– หากถูกของมีคมบาด ให้รีบทำความสะอาดแผลและปิดด้วยผ้าพันแผล
– ควรสวมถุงมือทุกครั้งเพื่อป้องกันการเกิดแผลเวลาทำสวน หรืองานก่อสร้าง
– ทาครีมหรือโลชั่นถนอมผิว เพื่อป้องกันผิวแห้งแตก
– รับประทานอาหารที่สุกและสะอาด หลีกเลี่ยงของสุก ๆ ดิบ ๆ หรือของหมักดอง เช่น แหนม ปลาร้า ก้อย ส้มตำ และยำต่าง ๆ เป็นต้น
– เมื่อท่านมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักและผลไม้สด
– แปรงฟันให้สะอาด ด้วยแปรงสีฟันขนนุ่ม
– ควรมีเทอร์โมมิเตอร์สำหรับวัดไข้ติดตัวไว้ ถ้าท่านสงสัยว่ามีไข้ควรวัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อยืนยันอาการ
– หากมีอาการไข้ภายหลังจากการได้รับยาเคมีบำบัด ให้รีบมาพบแพทย์โดยด่วน

วิธีการรักษาเมื่อมีไข้จากผลข้างเคียงคีโม

1. รีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดดูว่าเม็ดเลือดขาวต่ำหรือไม่ ถ้าจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ แพทย์จะฉีดยาปฏิชีวนะให้โดยด่วน และรับตัวไว้รักษาใน
โรงพยาบาลทันที
2. อาจลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในช่วงเม็ดเลือดขาวต่ำ หรือในระยะเวลาที่มีไข้และเม็ดเลือดขาวต่ำได้ด้วยการฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว
ซึ่งขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล

โลหิตจางผลข้างเคียงคีโม

อาการ ซีด เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอก มึนศีรษะ อาจมีเลือดออกในทางเดินอาหารทำให้อุจจาระมีสีดำ แต่อาการที่พบบ่อยที่สุด คือ อ่อนเพลีย
สาเหตุ เกิดจากเม็ดเลือดแดงมีจำนวนลดลง ซึ่งอาจเป็นผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด มีเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือมีการสูญเสียเลือด รวมทั้งภาวะ
โรคมะเร็งเองก็อาจทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำลงได้เช่นเดียวกัน

วิธีบรรเทาอาการ

– รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก เช่น ตับ ผักใบเขียว อาหารที่มีโปรตีน และวิตามินสูง
– พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ไม่หักโหม เช่น เปลี่ยนจากวิ่งมาเป็นเดินช้า ๆ และทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส
– ทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติ แต่ปรับให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย

วิธีการรักษา โดยการให้เลือด หรือยาฉีดกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งทั้งหมดนี้จะขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์โดยประเมินจากสภาวะของผู้ป่วย

มีจุดเลือดหรือจ้ำเลือด

อาการ มีจุดเลือดหรือจ้ำเลือดขึ้นตามตัว เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน มีจุดแดงเล็ก ๆ ที่ตาขาว ลำตัว แขน และขา ประจำเดือนมามาก หากเป็นแผลเลือดออก
เลือดจะหยุดไหลได้ช้า แม้ว่าจะเป็นแผลขนาดเล็กก็ตาม
สาเหตุ เกิดจากจำนวนเกล็ดเลือดต่ำหลังได้รับยาเคมีบำบัด

วิธีป้องกันการเกิดแผลเลือดออกหรือบรรเทาอาการ

– หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดบาดแผล หรือเกิดการบาดเจ็บ เช่น ปั่นจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซด์ ตัดไม้ผ่าฟืน ตัดเย็บเสื้อผ้า หรือทำฟัน
– เลือกการออกกำลังกายเบา ๆ ไม่หักโหม เช่น เดิน ว่ายน้ำ เป็นต้น
– ใช้ที่โกนหนวดไฟฟ้าแทนใบมีดโกน เพราะทำให้เกิดแผลน้อยกว่า
– ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม ๆ
– ไม่ควรซื้อยากินเอง เช่น แอสไพริน ยาแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อบางชนิดที่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร เพราะจะไปรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือด
และทำให้เลือดออกในทางเดินอาหารได้
– งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

วิธีการรักษา แพทย์อาจพิจารณาให้เกล็ดเลือดในรายที่มีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ และ/หรือมีอาการเลือดออก

คำแนะนำเรื่องโภชนาการสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด

เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดเป็นผู้ป่วยนอก ดังนั้นจึงควรเตรียมอาหารและของว่างมาด้วย หากการให้ยาเคมีต้องใช้ระยะเวลาที่นาน บางโรงพยาบาลมีการอำนวยความสะดวกโดยมีตู้เย็น และเครื่องไมโครเวฟไว้ให้บริการ

  • ควรรับประทานอาหารว่างหรืออาหารเบาๆ ก่อนให้ยาเคมีบำบัด
  • การพักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์สามารถช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้เป็นอย่างดี
  • หากรู้สึกไม่อยากอาหารหลังจากได้รับยาเคมีบำบัด ก็ไม่ควรฝืนรับประทานซึ่งแก้ไขได้ด้วยการรับประทานทีละน้อยบ่อยๆ หรือเลือกรับประทานอาหารที่ชอบในระหว่างการรักษา
  • ควรรับประทานอาหารตามปกติหากสามารถทำได้ ที่สำคัญคือ ไม่ควรฝืนรับประทานอาหารที่ไม่ชอบหรือเมื่อยังรู้สึกอิ่มอยู่
  • อย่าเกรงใจที่จะขอให้ญาติและเพื่อนๆ มีส่วนช่วยในการเลือกซื้อ และเตรียมอาหาร หรือหากอยู่คนเดียวก็อาจสั่งอาหารมารับประทานที่บ้านหรือออกไปรับประทานอาหารกับเพื่อนบ้าง

ผลข้างเคียงจากการรักษา ส่วนใหญ่เป็นแบบชั่วคราวเท่านั้น หากอาการไม่หายไป ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบเพื่อดำเนินการรักษาต่อไป

การดูแลตนเอง เมื่อเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน

  • ในผู้ป่วยที่ต้องควบคุมอาหาร เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรมีการปรับเปลี่ยนอาหารตามความเหมาะสม โดยปรึกษากับทีมแพทย์ผู้ให้การรักษา
  • ควรแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ และบ่อยๆ แทนที่จะเป็นมื้อหลัก 3 มื้อตามปกติ
  • ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและพลังงานสูง
  • สามารถรับประทานอาหารเสริมควบคู่ไปด้วย โดยสามารถสอบถามรายละเอียดได้จากทีมผู้ให้การรักษา
  • สามารถรับประทานอาหารเสริมควบคู่ไปด้วย โดยสามารถสอบถามรายละเอียดได้จากทีมผู้ให้การรักษา

ในแต่ละวันหากช่วงเวลาใดที่สามารถทานได้ ควรรับประทานให้เพียงพอ ซึ่งส่วนใหญ่มื้อเช้าจะเป็นมื้อที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้มาก

หากไม่สามารถรับประทานอาหารได้เพียงพอ ควรบอกแก่ทีมผู้ให้การรักษาหรือนักโภชนาการเพื่อรับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง

หากรับประทานยาแก้อาการคลื่นไส้อาเจียนไม่ได้ผล ควรแจ้งทีมผู้ให้การรักษาทราบเพื่อพิจารณาปรับยาให้เหมาะสม

วิธีบรรเทาอาการผลข้างเคียงคีโม

– รับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ขนมปัง แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารร้อนเพราะมีกลิ่น และทำให้ท่านรู้สึกอยากอาเจียนมากขึ้น
– รับประทานอาหารเหลว ใส หรือเครื่องดื่มเย็น ๆ เช่น น้ำผลไม้ น้ำขิง โดยใช้หลอดดูดแทนการดื่ม
– รับประทานทีละน้อย แต่บ่อยมื้อขึ้น
– หลีกเลี่ยงอาหารกลิ่นฉุน รสจัด อาหารมัน อาหารทอด เพราะจะทำให้ท่านรู้สึกอยากอาเจียนมากขึ้น
– ทำความสะอาดปากและฟันหลังทานอาหารทุกมื้อด้วยน้ำเกลือกลั้วปาก
– พักผ่อนมาก ๆ หากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือดูรายการโทรทัศน์ที่ชอบ
– รับประทานยาแก้คลื่นไส้อาเจียนตามแพทย์สั่ง

อาการข้างเคียงดังต่อไปนี้ควรพาผู้ป่วยไปพบแพทย์

  • ท่านควรรีบมาพบแพทย์ทันทีถ้ามีอาการดังต่อไปนี้
    • มีอาการซีดมาก อ่อนเพลียมาก เหนื่อยหอบ หรือหน้ามืดมีไข้ (วัดไข้ซ้ำอีกครั้งใน 1 ชั่วโมงต่อมา หากยังมีไข้ให้รีบมาโรงพยาบาลทันที โดยห้ามกินยา
      ลดไข้เด็ดขาด) หรือมีอาการหนาวสั่น ปวดศีรษะ โดยเฉพาะเมื่อมีไข้ในช่วง 7-14 วัน หลังได้รับยาเคมีบำบัด
    • มีจุดเลือดจ้ำเลือดขึ้นตามตัว หรือมีเลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล มีจุดแดงที่ตาขาว ลำตัว แขน และขา
    • อาการข้างเคียงต่าง ๆ มีความรุนแรงมากขึ้น เช่น ท้องเสียรุนแรง ปวดศีรษะรุนแรง
    • น้ำหนักเพิ่มขึ้น หรือลดลงอย่างรวดเร็ว
    • มีผื่น หรือตุ่มขึ้นตามร่างกาย
    • สูญเสียการทรงตัว

แจ้งแพทย์หรือพยาบาลหากมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก และไม่สามารถควบคุมได้

ข้อมูลบางส่วนคัดกรองมากจาก : chulacancer.net

เมื่อโรคมะเร็งเข้ามาทักทาย สะดุดได้แต่ห้ามล้ม

เมื่อโรคมะเร็งเข้ามาทัก..สะดุดได้แต่ห้ามล้ม-คุณโบ เสาวณิช -เพจแม่บ้านคีโม-www imurathailand

เมื่อโรคมะเร็งเข้ามาทักทาย สะดุดได้แต่ห้ามล้ม

เมื่อโรคมะเร็งเข้ามาทัก..สะดุดได้แต่ห้ามล้ม-คุณโบ เสาวณิช -เพจแม่บ้านคีโม-www imurathailand

ถ้านับเวลาถึงตอนนี้เป็นระยะเวลาเกือบ 8 ปีเต็มแล้ว ที่ คุณโบ-เสาวณิช ผิวขาว เจ้าของเพจ “แม่บ้านคีโม” เมื่อวันที่โรคมะเร็งเต้านม เข้ามาพรากความสุขและทำให้ชีวิตเอต้องสะดุดจนแทบจะรับมือไม่ไหว

อย่างที่บอกกันว่าโรคร้ายมักไม่มีสัญญาณเตือน … วันนี้เรามีนัดเจอกันที่บ้านหลังกว้าง ที่แบ่งสัดส่วนเป็นร้านอาหารเล็กๆ แบบ Home Kitchen คุณโบ สาวแว่นกลม เจ้าของบ้านและเจ้าของเรื่องราว ที่จะมาถ่ายทอดประสบการณ์ ยาวนานให้เราได้ฟังกัน…..

ชื่อโบค่ะ..เสาวณิช ผิวขาว เจ้าของ คอลัมน์ “แม่บ้านคีโม” เป็นอดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านม และ ปัจจุบันคือ ผู้ป่วยมะเร็งกระดูกระยะลุกลามค่ะ

โบรู้จักและมีโรคมะเร็งเป็นเพื่อน มาเป็นระยะเวลา 8 ปี แล้วค่ะ โบเลือกใช้วิธีการรักษาด้วยการแพทย์ปัจจุบันควบคู่กับการทำจิตใจให้เบิกบาน เลือกทานอาหารที่ปรุงสุขสดใหม่ในทุกๆวัน ด้วยโรคของโบ ไม่สามารถออกกำลังกายเหมือนคนปกติได้ จึงเลือกใช้วิธีการเข้าครัวทำอาหาร เป็นเครื่องมือช่วยให้โบได้ขยับแขน ขยับขา เสมือนได้ออกกำลังไปในตัว จนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติบนพื้นฐานการดูแลสุขภาพที่ดี ค่ะ

อยากแบ่งปันความรู้สึกถึงตอนที่ต้อง เตรียมตัวสำหรับการไปให้คีโมครั้งแรก แล้วต้องรับมือยังไงหลังจากให้แล้ว

ยาตัวแรกที่ต้องใช้สำหรับโบ นั่นคือ “ยาใจ” ค่ะ ซึ่งตัวยานั้นประกอบไปด้วยส่วนผสมหลากหลายชนิด เช่น •ยอมรับ •ปล่อยวาง •เชื่อมั่น •ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอให้เต็มกำลังความสามารถ

ก่อนการให้เคมีบำบัด ในครั้งแรก โบจะหาข้อมูลจากอินเตอร์เนทเกี่ยวกับวิธีเตรียมร่างกายให้พร้อมและสอบถามผู้ที่เคยมีประสบการณ์ (เพื่อนร่วมโรค) พอประมาณ จะไม่เจาะลึก หรือ หาผลเสียที่จะได้รับจากการให้เคมี มากเกินไปนัก เพราะจะทำให้เราขาดความมั่นใจ ไม่เชื่อมั่นในการรักษา มีภาวะความวิตกกังวลค่อนข้างสูงมากค่ะ หลักๆเลย โบจะใช้วิธีการดูแลเรื่องอาหารการกิน ปรุงสุกสดใหม่ทุกมื้อ เสริมโปรตีนจากพืชและสัตว์เพื่อสร้างเม็ดเลือดขาวให้แข็งแรงพร้อมรับมือ พักผ่อนให้มากๆ วางใจและเชื่อมั่นในแผนการรักษาของคุณหมอ ที่สำคัญคือ คิดถึงแต่ปัจจุบัน ไม่คิดไปก่อนล่วงหน้า อาทิเช่น คนอื่นบอกว่า ให้เคมีแล้วจะแพ้เคมี ทรมาน เป็นนู่นเป็นนี่ โบจะไม่คิดแบบนั้นค่ะ เพราะ 10 คนที่รักษา ผลข้างเคียงของเคมี จะแตกต่างกันออกไป ไม่เหมือนกันสักคน ความอดทนต่อความเจ็บปวดของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วย เพราะฉะนั้น ต้องไม่เก็บประโยคเหล่านี้มาบั่นทอนจิตใจตัวเองค่ะ…แล้วการให้เคมีบำบัดครั้งแรกของโบก็ผ่านไป

สำหรับหลังให้เคมีบำบัด โบก็มีอาการข้างเคียงอยู่บ้าง แต่ละรอบอาการข้างเคียงจะไม่เหมือนกันนะคะ โบเลือกที่จะใช้เวลานี้ทำสมาธิ อยู่กับปัจจุบัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เฉพาะจุด ณ เวลานั้นๆ เช่นว่า หากมีอาหารเวียนศรีษะ,อาเจียน โบก็จะทานยาแก้อาเจียน เป็นต้น หากปวดบริเวณกระดูกสันหลัง โบก็จะทำสมาธิจับจุดว่าตอนนี้ปวดที่กระดูกหลังนะ จะไม่พาลเผลอคิดไปว่า ฉันปวดขา ปวดแขน ปวดตรงนั้นตรงนี้ เพราะแท้ที่จริงแล้ว เราปวดที่กระดูกสันหลังเพียงที่เดียวเท่านั้น ที่สำคัญคือ หลังให้เคมีบำบัดแล้ว โบจะไม่นอนซมเป็นผักเหี่ยวอย่างแน่นอนค่ะ โบจะพยายามกัดฟัน ลุกขึ้นมาขยับขาขยับแขนผ่านการทำอาหารง่ายๆทานเอง สูดอากาศดีๆยามเช้าและเย็น หรือ เขียนบทความสั้นๆเก็บไว้ถ่ายทอดประสบการณ์ต่อไป โบถือว่า ช่วงเวลาหลังให้เคมีบำบัด คือช่วงเวลาที่โบได้อยู่กับตัวเอง และได้พักผ่อนมากที่สุดแล้วค่ะ

เคยมีคนถามโบว่า ทำไมคีโมมันถึงช่วยโรคมะเร็งได้แค่ 50% อีก 50% คืออะไร

โบบอกได้เลยค่ะว่า เคมีบำบัดช่วยยับยั้งหรือทำลายเซลล์มะเร็งในร่างกายเรา แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ โบมีความเชื่อว่า “หมอใหญ่” คนสำคัญอีกหนึ่งคน คือ “ตัวเรา” โบหมั่นให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอว่า…มะเร็งเป็นเพียงโรคโรคหนึ่ง ที่เราต้องรับมือกับมัน และอย่าคิดว่า หากเป็นแล้วต้องเสียชีวิตอย่างเดียว…ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นโรคนี้กันได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น เรา คือ “คนพิเศษ” เราควรมองว่านี่เป็นโอกาสอย่างหนึ่งที่เราจะสามารถมองหาข้อดีหรือประโยชน์จากการเป็นโรคนี้ได้ยังไงบ้าง ซึ่งการปรับความคิดทัศนคติให้เป็นบวกนั้นเป็น”เครื่องมือ”สำคัญมากในการต่อสู้กับ “โรคมะเร็ง” ค่ะ

โบหวังว่า ” คนพิเศษ ” หลายๆคน ที่ผ่านมาเจอเรื่องราวของโบวันนี้ก้าวผ่านวันคืนไปในทุกๆวัน ด้วยความสุขที่เราต้องมอบให้ตัวเอง เผื่อแผ่ให้คนรอบตัวเรา รอยยิ้มเล็กๆของเรา ก็จะสว่างสดใสในหัวใจตัวเองแล้วยังล้นไปถึงคนรอบตัว…

เชื่อโบเถอะคะ..ว่าเราคือ ” คนพิเศษ “

NK Cell คืออะไร

NK Cell คืออะไร?

NK CELL คืออะไร?

NK Cell คืออะไร?

NK Cell (Natural Killer Cell) หรืออาจเรียกว่า เซลล์นักฆ่าเพชรฆาต กล่าวคือ เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง (Cytotoxic lymphocyte) ที่มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติในร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่ในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและตอบสนองต่อการก่อตัวของเซลล์มะเร็งนั่นเองค่ะ

จะว่าไปแล้ว NK cell นั้นมีความสามารถที่พิเศษในการทำลายเซลล์แปลกปลอมที่เข้ามาสู่ร่างกายคือเรียกได้ว่า เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาสู่ร่างกายเรานั้น หาก NK Cell จับได้และรู้ว่าเป็นเซลล์ที่ผิดปกติไปต่างจากเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆในร่างกายของคนเรานั้น NK Cell จะทำหน้าที่กำจัดโดยไม่ต้องรอการกระตุ้นใดๆ จากร่างกาย แอนตี้บอดี้และสารบนผิวเซลล์ (MHC: histocompatibility complex) เหมือนเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆ ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันเร็วขึ้น จึงถูกขนานนามว่า “เซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติ” นี้คือชื่อเรียกของ NK Cell

อย่างไรก็ตามในภาวะปกติ เม็ดเลือดขาว NK Cell พบได้ค่อนข้างน้อยในกระแสเลือด โดยพบเพียง 15% ของจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ทั้งหมด อีกทั้งการศึกษาพบว่าจำนวนของเม็ดเลือดขาว NK Cell จะลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับอุบัติการณ์ของมะเร็งที่เพิ่มมากขึ้นตามอายุ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าเมื่อเรามีอายุเพิ่มขึ้น NK Cell ในร่างกายเราลดลงจึงทำให้เซลล์มะเร็ง ตัวร้ายกาจสามารถเข้ามาสู่ร่างกายเราได้ไวในช่วงที่เซลล์ของเราอ่อนแอลง


ถ้าเช่นนั้น NK Cell จะทำหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็ง?
และเราสามารถเพิ่ม NK Cell ได้ไหม?


หน้าที่ของ NK Cell ในการทำลายเซลล์มะเร็ง

The Effect in Removing Cancer Cells that are Generated Every Day ร่างกายของเรามีเซลล์ที่แบ่งตัวผิดปกติเกิดขึ้นนับเป็นพันเซลล์ต่อวัน NK Cell จึงมีหน้าที่ในการค้นหาและทำลายเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านั้น ก่อนที่เซลล์ที่ผิดปกตินั้นจะมีโอกาสแบ่งตัวเพิ่มจำนวนจนแสดงออกเป็นโรคมะเร็งในที่สุด

The Effect in Preventing Recurrence and Metastasis of Cancer และในกรณีที่เซลล์มะเร็งนั้นแม้จะรักษาหายแล้วแต่ในความเป็นจริงอาจจะยังมีเซลล์ต้นกำเนิดโรคมะเร็งจำนวนเล็กน้อยที่ยังเล็ดรอดอยู่และรอคอยโอกาสในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และกลับมาเป็นซ้ำในที่สุด

ดังนั้นหน้าที่หลักสำคัญของ NK Cell มีหน้าที่เฝ้าคอยตามหาเซลล์ผิดปกติดังกล่าวนี้และทำลาย กล่าวคือ NK Cell มีหน้าที่และบทบาทในการป้องกันการกลับมาเป็นโรคมะเร็งซ้ำอีก

The Effect in Enhancing Immune Response to Cancer คือกลไกการทำลายเซลล์มะเร็งของระบบภูมิคุ้มกันนั้น ต้องอาศัยการทำงานของร่วมกันของเซลล์เม็ดเลือดในระบบภูมิคุ้มกันหลายชนิดทั้ง Dendritic Cell และ Cytotoxic T Cell โดยพบว่า NK Cell จะช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ดังกล่าวโดยการหลั่งไซโตไคน์หลายชนิด ทำให้มีประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็งได้มากขึ้น

ซึ่งปัจจุบันในทางการแพทย์นั้นสามารถตรวจ NK Cell Count และ NK Activity ได้เพื่อประเมินความสามารถในการทำลายเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็งของแต่ละบุคคลได้จากการเจาะเลือด

ดังนั้นผู้ที่ควรได้รับประโยชน์จากการตรวจคือผู้ป่วยที่ตรวจเลือดและมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ ซึ่งนั้นหมายถึง กลุ่มคนที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสได้บ่อยขึ้น หรืออาจจะเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งแล้ว อาจจะหายยากขึ้นรวมทั้งมีความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นด้วย

ดังนั้นคนเหล่านี้จึงได้รับการแนะนำการตรวจ NK cell ที่มีความเสี่ยงต่างๆ 12-14 เช่น

คนที่มีการติดเชื้อบ่อยครั้ง เช่น เป็นเริม งูสวัด โรคตับอักเสบ เป็นหวัดบ่อย เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอ หรือ บี, ไข้หวัดนก เป็นต้น

หากมีบุคคลในครอบครัวนั้นมีประวัติการเป็นโรคมะเร็ง มีสภาวะอ่อนล้าเรื้อรัง หรือมีประวัติการสูบบุหรี่ และดื่มอย่างหนัก และคนที่ต้องสัมผัสกับมลพิษจากสิ่งแวดล้อมเป็นระยะเวลานานด้วยอาชีพ และปัจจัยภายนอกอีกหลายประการควรได้รับการตรวจ หรือหาทางป้องกันตนเอง คนที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วนั้นก็ควรได้รับการตรวจด้วยเช่นกัน หากพบเจอความผิดปกติจะได้ทำการรักษาได้ทันที

I.M.U.RA จึงเป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มคนที่รักสุขภาพ รวมถึงผู้ป่วยที่มีประวัติการเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือการติดเชื้อไวรัส ก็สามารถรับอาหารเสริมเพิ่มภูมิคุ้มกัน NK Cell ให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีมากขึ้นเพื่อกำจัดและรักษาเซลล์ที่เสื่อมสภาพ รวมทั้งเซลล์ที่กำลังอ่อนแอ ได้กลับมาแข็งแรงมากขึ้น ทำให้อายุคนเราอยู่ได้ยาวขึ้นปราศจากโรคภัย

เพราะยุคปัจจุบันวิวัฒนาการทำให้คนสะดวกสบายมากกว่าปกติ ขาดการดูแลเอาใจใส่ตนเอง ด้วยการแข่งขันในการดำเนินชีวิต ต้องทำงาน เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว แต่การหาเงินได้มากเท่าใด ไม่ดูแลรักษาร่างกายไม่เพิ่ม NK Cell เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ดีอาจจะเป็นคนที่ต้องได้รับการดูแลจากบุคคลอื่นแทน

ท่านอยากเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง หาเงินได้มาก หรือ คนที่ต้องใช้เงินทั้งชีวิตที่หาได้มาเพื่อรักษาโรคมะเร็ง และโรคร้ายอีกหลายๆ โรคที่เกิดขึ้นในอนาคต หากท่านพร้อมให้เราได้ดูแลติดต่อได้ที่ www.imurathailand.com มีเจ้าหน้าที่คอยตอบคำถามและให้คำปรึกษาท่านเป็นอย่างดี

ยาเคมีบำบัด คืออะไร

ยาเคมีบำบัด หรือบางท่านอาจเรียกสั้นๆ ว่า “คีโม” ย่อมาจาก “คีโมเทอราปี” […]
Read More

3วิธีฟื้นฟูร่างกายหลังคีโม ทำแล้วดี เพิ่มโอกาสหายขาดจากมะเร็งได้มากขึ้น

[…]
Read More

วิธีรับมือผลข้างเคียงจากการทำคีโม

วิธีรับมือผลข้างเคียงจากการทำคีโม และเลือกใช้ อิมูร่า อาหารเสริมคนทำคีโม โดยคุณโบ […]
Read More
PreviousNext

อาการข้างเคียงหลังทำคีโมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

imura-อาการข้างเคียงหลังทำคีโม-www imurathailand

อาการข้างเคียงหลังทำคีโม ไม่ว่าจะเป็น ร้อนในในช่องปาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อทั้งร่างกาย หรืออาการคลื่นไส้ นอนไม่หลับ ผมร่วง ท้องเสีย ท้องผูก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เหมือนมีเข็มทิ่มแทง

ซึ่งทุกคนก็น่าจะพอทราบแล้วว่า การทำคีโมนั้นคือการฆ่าและทำลายเซลล์ทั้งหมดในร่างกายไม่ว่าเซลล์ดีหรือเซลล์ร้ายจะถูกทำลายทั้งหมด ดังนั้นผู้ป่วยที่ได้รับคีโมนั้นจะมีร่างกายและภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าคนปกติทั่วไป เพราะเนื่องจากจำนวนเม็ดเลือดขาวลดต่ำลง จนทำให้ไม่สามารถจัดการกับเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกายได้ดีเหมือนปกติ
ดังนั้นจึงทำให้เกิดอาการต่างๆ ที่เกิดหลังจากการได้รับเคมีบำบัด หรือ คีโม นั่นเอง อาการต่างๆ มีดังต่อไปนี้

» อาการผมร่วง เพราะคีโมไปทำลายเซลล์รากผม จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลหากมีอาการผมร่วงแสดงว่าร่างกายตอบสนองในการทำเคมีบำบัด
» อาการคลื่นไส้ ที่เกี่ยวกับการย่อยอาหาร เพราะคีโมมาส่วนทำลายผนังของกระเพราะ (อาจจะเกิดขึ้นกับบางราย แต่โดยทั่วไป 80% ของผู้ป่วยที่ได้รับคีโมจะเกิดขึ้น)
» อาหารและลำไส้ ทำให้ท้องเสียง่ายขึ้น คลื่นไส้ง่ายขึ้น บางรายอาจจะมีอาการท้องผูก
» อาการปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ ร้อนในขึ้นในปาก คือการอักเสบ เพราะไขกระดูกที่เปรียบเสมือนโรงงานผลิตเม็ดเลือดขาว ถูกทำให้เสียหาย เม็ดเลือดขาวมีจำนวนน้อยลง เมื่อเกราะป้องกันอ่อนแอ ผลคือปวดเมื่อยรุนแรง ฝ่ามือ ฝ่าเท้าจะร้อนวูบวาบ

อาการดังกล่าวที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ประกอบกับความเครียดกังวล ยิ่งทำให้นอนไม่หลับ หลับยาก และหากพักผ่อนน้อยภูมิคุ้มกันก็จะลดลง ทำให้เมื่อเวลาไปตรวจครั้งต่อไปทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด อาจจะมีการรับเคมีต่อไม่ได้ เนื่องจากร่างกายที่อ่อนแอนั่นเอง

ดังนั้นอาการข้างเคียงเหล่านี้ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความพร้อมของร่างกายก่อนการทำคีโม และการดูแลหลังทำคีโม อย่าลืมว่า อาการข้างเคียงที่รุนแรง ไม่ได้แปลว่าคีโมได้ผลดีกว่าอาการไม่รุนแรงนะคะ

ข่าวดีคือ สารคีโมจะสลายตัวไปภายในเวลา 7-10 วัน และร่างกายของเราจะเริ่ม “สร้าง” ส่วนต่างๆที่เสียหายไป กลับคืนมา ไม่มีอาหารหรือวิธีการใด สามารถช่วยให้จำนวนเม็ดเลือดขาว เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น

ร่างกายของเราต้องใช้เวลาในการ “สร้าง” และฟื้นฟู แต่ สิ่งที่เราทำได้ คือการหา “วัตถุดิบ” และ “เครื่องมือ” ที่ดี ให้ร่างกายสร้างไขกระดูก และฟื้นฟูความแข็งแรงของเซลล์ให้กลับมาได้เร็วขึ้น

  • “วัตถุดิบ” ที่ดี คือสารอาหารที่เราเลือกทานหลังทำคีโมนั่นเอง

วัตถุดิบชั้นดีที่ช่วยสร้างไขกระดูกให้กลับมาผลิตเม็ดเลือดขาว คือโปรตีน วิตามิน B12 วิตามิน C และ โฟเลตการเลือกทานอาหารที่มีสารอาหารจำเป็นเหล่านี้ คือการให้ “วัตถุดิบ” กับร่างกาย

  •  “เครื่องมือ” ที่ใช้แปลง “วัตถุดิบ” ที่ช่วยฟื้นฟูไขกระดูกที่จะไปสร้างเม็ดเลือดขาวกลับมา ก็คือการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ ลดความเครียดกังวล เพราะความเครียดสร้างฮอร์โมนเครียดที่เป็นสาเหตุให้ร่างกายนำ “วัตถุดิบ” ที่เราอุตส่าห์ใส่เข้าไปไปใช้ได้ยากขึ้น

ตัวช่วยที่ทำให้นอนหลับดีขึ้น อย่างสาร CBDrive การออกกำลังกายเบาๆอย่างโยคะ และการผ่อนคลายความกังวลด้วยการฝึกสมาธิ เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ร่างกาย กลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

รู้เท่าทันการทำคีโม กับ I.M.U.RA (อิมูร่า)

I.M.U.RA อาหารเสริม สกัดจากธรรมชาติ เพิ่ม NK Cell activity พร้อมResveratrol สกัดจากเปลือกเมล็ดองุ่น, CBDrive วิตามิน B C และ Zinc ทั้งช่วยกำจัดเซลล์ร้าย และฟื้นฟูเซลล์ดี

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนและหลังทำคีโม ด้วย IMURA Chemo Set

วิธีการรับประทาน
ดื่มวันละ 2 ครั้ง 14 วันต่อเนื่อง ก่อนเข้าทำคีโมบำบัด
และ วันละ 2 ครั้ง 14 วันต่อเนื่อง หลังบำบัด
เลขที่ อ.ย. : 1210516150077
ผลิตและจัดจำหน่ายโดย : บริษัท มามาสิตา จำกัด

ผลกระทบหลังทำคีโม ร่างกายจะติดเชื้อได้ง่าย

ผลกระทบหลังทำคีโม-www imurathailand

หลังทำคีโม ร่างกายจะติดเชื้อได้ง่าย1-www imurathailand

หลังทำคีโม ร่างกายจะติดเชื้อได้ง่าย ??

การรับเคมีบำบัดนอกจากจะทำลายเซลล์มะเร็งแล้ว ยังมีผลกระทบต่อเซลล์ปกติที่แบ่งตัวเร็วในร่างกายอีกด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงต่าง ๆ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ซีด เหนื่อย อ่อนเพลีย มีจุดเลือดจ้ำเลือดตามตัว คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บปากเจ็บคอ ท้องเสีย อุจจาระมีสีดำ ท้องผูก ผมร่วง

อาการเหล่านี้มักเกิดหลังจากได้รับยาประมาณ 7-14 วัน นอกจากนี้ อาจพบผลข้างเคียงอื่น ๆ เช่น ผิวหนังและเล็บเปลี่ยนสี ฝ่ามือฝ่าเท้ามีสีดำคล้ำและเจ็บ ชาปลายมือปลายเท้า มีเพศสัมพันธ์ได้ยาก มีบุตรยาก และอารมณ์แปรปรวน เป็นต้น

ผลกระทบหลังทำคีโม ที่พบในแต่ละอาการอาจมีความจำเพาะต่อยาแต่ละชนิดหรือขนาดของยาที่ใช้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยแต่ละคนอาจตอบสนองต่อยาชนิดและขนาดเดียวกันแตกต่างกันได้


อาการข้างเคียงเหล่านี้มีผลกระทบหลังทำคีโมหลายอย่างที่ป้องกันได้ โดยแพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้พิจารณาให้ยา หรือมาตรการในการป้องกัน อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไข บรรเทา หรือป้องกันอาการดังกล่าวได้ ดังนั้น ท่านจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเองเมื่อได้รับยาเคมีบำบัด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการรักษาจากยาสูงสุด โดยมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ตามที่ผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษาตั้งใจไว้

อาการไข้

อาการไข้ หมายถึง การที่มีอุณหภูมิในช่องปากมากกว่าหรือเท่ากับ 38 องศาเซลเซียส เป็นเวลามากกว่าหรือเท่ากับ 1 ชั่วโมง หรือมีอุณหภูมิรักแร้มากกว่าหรือเท่ากับ 37.8 องศาเซลเซียส

สาเหตุ ไข้อาจเป็นอาการนำของภาวการณ์ติดเชื้อ หรืออาการของโรคมะเร็งเอง อาจพบภาวะเม็ดเลือดขาว (ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้เชื้อโรคต่าง ๆ) ต่ำลงและเกิดการติดเชื้อ

ได้เมื่อท่านได้รับยาเคมีบำบัด สังเกตได้จากอาการไข้ รู้สึกหนาวสั่น เจ็บรอบ ๆ ทวารหนักหลังการให้ยาเคมีบำบัด โดยเฉพาะในช่วง 7-14 วัน หลังได้รับยาเคมีบำบัด

วิธีป้องกันการติดเชื้อโดยทั่วไป

– ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
– หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นไข้หวัดวัณโรค และงูสวัด เป็นต้น
– เมื่อท่านมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีผู้คนแออัด เช่น ตลาด โรงภาพยนตร์ หรือห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
– ดูแลร่างกายไม่ให้อับชื้น อาบน้ำให้สะอาดทุกวัน โดยใช้สบู่อ่อน ๆ เช่น สบู่เด็ก
– ระมัดระวังการใช้ของมีคมทุกชนิด
– หากถูกของมีคมบาด ให้รีบทำความสะอาดแผลและปิดด้วยผ้าพันแผล
– ควรสวมถุงมือทุกครั้งเพื่อป้องกันการเกิดแผลเวลาทำสวน หรืองานก่อสร้าง
– ทาครีมหรือโลชั่นถนอมผิว เพื่อป้องกันผิวแห้งแตก
– รับประทานอาหารที่สุกและสะอาด หลีกเลี่ยงของสุก ๆ ดิบ ๆ  หรือของหมักดอง เช่น แหนม ปลาร้า ก้อย ส้มตำ และยำต่าง ๆ เป็นต้น
– เมื่อท่านมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักและผลไม้สด
– แปรงฟันให้สะอาด ด้วยแปรงสีฟันขนนุ่ม
– ควรมีเทอร์โมมิเตอร์สำหรับวัดไข้ติดตัวไว้ ถ้าท่านสงสัยว่ามีไข้ควรวัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อยืนยันอาการ
– หากมีอาการไข้ภายหลังจากการได้รับยาเคมีบำบัด ให้รีบมาพบแพทย์โดยด่วน

วิธีการรักษาเมื่อมีไข้

1. รีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดดูว่าเม็ดเลือดขาวต่ำหรือไม่ ถ้าจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ แพทย์จะฉีดยาปฏิชีวนะให้โดยด่วน และรับตัวไว้รักษาใน

โรงพยาบาลทันที

2. อาจลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในช่วงเม็ดเลือดขาวต่ำ หรือในระยะเวลาที่มีไข้และเม็ดเลือดขาวต่ำได้ด้วยการฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว

ซึ่งขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล

เพราะการทำคีโมบำบัดทำให้ร่างกายอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเพราะภูมิคุ้มกันถูกทำลายและผู้ป่วยควรมีการดูแลตัวเองในเรื่องของสุขอนามัยและความสะอาดในชีวิตประจำวัน ระมัดระวังไม่ให้ผิวหนังเกิดบาดแผลหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ที่เป็นโรคติดต่อ หรืออยู่ในสถานที่แออัด แต่ถ้าการระวังอย่างเดียวไม่เพียงพอ อิมูร่ามีคำตอบ….อิมูร่า นวัตกรรมใหม่ในรูปแบบผง

  • 2 รางวัลการันตีจากประเทศแคนาดาและประเทศเกาหลี
  • สารสกัดจากธรรมชาติเกรดพรีเมี่ยม ที่ช่วยเตรียมพร้อมสำหรับการให้คีโมบำบัดและลดผลข้างเคียงหลังจากการให้คีโมบำบัด
  • ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันเพชฌฆาต NK Cell และ NK Cell Activities ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
  • Resveratrol ลดการอักเสบในระดับเซลล์ ช่วยให้คุณหมดกังวล ไม่ต้องทรมานจากคีโม ย่นระยะผลข้างเคียง
  • Nano Encapsulated ไม่ให้สารสกัดสลายตัว คงประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายดูดซึมไปสู่เซลล์เป้าหมายได้ดีที่สุด

ข้อมูลบางส่วนคัดกรองมากจาก : chulacancer.ne