Imurathailand

5 วิธีการฟื้นฟูสุขภาพหลังคีโม

ฟื้นฟูสุขภาพหลังคีโม

ฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วยหลังคีโม

คีโมเทอราปี (Chemotherapy) หรือที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า “คีโม” คืออะไร?

ความหมายของคำว่า “คีโม (Chemotherapy) คือ การใช้ยาเคมีบำบัด ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคมะเร็ง โดยมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย ทั้งการรักษาและควบคุมเซลล์มะเร็ง รวมไปถึงช่วยประคับประคองอาการในกรณีที่มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่นจนไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งด้วยผลข้างเคียงหลังทำเคมีบำบัด ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงจากผลกระทบของเคมีบำบัด เช่น

  • เบื่ออาหาร
  • แผลร้อนในภายในปากและลิ้น
  • เจ็บปวดกระดูก
  • ฝ่ามือฝ่าเท้าเหมือนเข็มทิ่มตำ
  • มือเท้าชา
  • ปวดเมื่อย
  • ภูมิต้านทานโรคลงลง
  • ขาดสารอาหาร

5 วิธีการฟื้นฟูสุขภาพหลังคีโม

หลังการทำคีโมจึงต้องฟื้นฟูสุขภาพในทุกด้าน ด้วย 5 วิธีการ ฟื้นฟูสุขภาพหลังคีโม ได้แก่

รับประทานอาหารให้เพียงพอเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ

การรับประทานอาหารมีส่วนสำคัญต่อการ ฟื้นฟูสุขภาพหลังคีโม เพราะจะช่วยให้ร่างกายได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งจะช่วยในการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น โดย ผลข้างเคียงคีโม ที่พบได้บ่อย คือ มีอาการเบื่ออาหารและปากเป็นแผล ทำให้ผู้ป่วยอาจขาดสารอาหารและส่งผลต่อการรักษาโรคได้ เช่นเกล็ดเลือดต่ำ เลือดไม่เพียงพอ เม็ดเลือดแดงและขาวน้อย แนวทางแก้ไขเบื้องต้นคือแบ่งการรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ 5-6 มื้อต่อวัน แต่ถ้าหากคนไข้รับประทานอาหารแบบปกติได้น้อยมาก ก็สามารถรับประทานอาหารทางการแพทย์ ซึ่งมีขายตามโรงพยาบาล ร้านขายยา หรือห้างสรรพสินค้าทดแทนได้

5 วิธีการฟื้นฟูสุขภาพหลังคีโม

รับประทานอาหารที่มีความเหมาะสม

การรับประทานอาหารให้มีความเหมาะสมเพื่อ เสริมภูมิต้านทาน เป็นสิ่งจำเป็นต่อผู้ป่วยมะเร็ง โดยอาหารที่เหมาะสำหรับฟื้นฟูสุขภาพหลังการทำคีโม มีหลายสิ่งที่ต้องใส่ใจ เช่น รับประทานอาหารปรุงสุกและเลี่ยงอาหารหมักดองเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีผลทำให้เซลล์มะเร็งเจริญได้มากขึ้น และรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงเพื่อช่วยให้กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวและช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

ฟื้นฟูสุขภาพหลังคีโม

เลือกอยู่ในสิ่งแวดล้อมดี

สิ่งแวดล้อมมีส่วนสำคัญต่อสุขภาพ โดยหลังจากการให้คีโมจะมีผลทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายอ่อนแอลง ผู้ป่วยจึงต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีมลภาวะเป็นพิษ เช่น บริเวณที่มีการสูบบุหรี่ บริเวณที่ต้องสูดดมควันจากท่อไอเสีย และหากจำเป็นต้องออกไปข้างนอกก็ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อเป็นการป้องกันเชื้อโรค

ฟื้นฟูสุขภาพหลังคีโม

ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นวิธีหนึ่งในการช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยมะเร็ง โดยเริ่มจากกิจกรรมเบา ๆ ก่อน เช่น การเดินหรือปั่นจักรยาน แต่ถ้าออกกำลังแล้วรู้สึกถึงความผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอก หน้ามืด เหนื่อยง่าย หรือภาวะอื่น ๆ ที่ผิดปกติ ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังในครั้งถัดไป

ฟื้นฟูสุขภาพหลังคีโม

ดื่มน้ำให้เพียงพอ

ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการท้องผูก จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ทั้งนี้หากพบว่ามีปัญหาเรื่องแผลในปากด้วย แนะนำเลือกผลไม้ที่มีความนิ่ม เช่น มะละกอ แอปเปิล แก้วมังกร หรือปั่นเป็นน้ำผลไม้ไม่แยกกาก ก็จะช่วยให้ได้รับใยอาหารที่เพียงพอและช่วยในการขับถ่ายได้ดีขึ้น

บทสรุปในการฟื้นฟูสุขภาพ

ผลข้างเคียงคีโม เกิดจากการที่ยาเข้าไปทำลายทั้งเซลล์มะเร็งและเซลล์ที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วเป็นปกติ เช่น เซลล์เม็ดเลือด เส้นผม รังไข่ ลูกอัณฑะ และเยื่อบุทางเดินอาหาร ร่างกายจึงต้องได้รับการ เสริมภูมิต้านทาน เพื่อที่จะป้องกันอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงในเร็ววัน เหล่านี้เป็น 5 วิธีการฟื้นฟูสุขภาพหลังคีโมที่ได้ผลเมื่อทำอย่างมีวินัยและต่อเนื่อง นำไปปรับใช้เพื่อดูแลผู้ป่วยมะเร็งในครอบครัวของคุณได้

ขอบคุณที่มาข้อมูลเว็บไซต์

พบแพทย์ ดอท คอม
รพ.พญาไท
รพ.จุฬา
รพ.เปาโล

Tag : คีโม | คนทำคีโม | ก่อนเข้ารับคีโม | เคมีบำบัด | ฟื้นฟูสุขภาพหลังคีโม

 

 

คีโมผลข้างเคียงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

การให้คีโมผลข้างเคียงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

รักษามะเร็งด้วยการให้คีโมผลข้างเคียงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

การให้คีโมผลข้างเคียงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเมื่อผ่านการรักษาสักระยะ จะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาด้วยคีโมหรือเคมีบำบัด (Chemotherapy) วิธีรักษาที่ผู้ป่วยหลาย ๆ คนกลัวที่จะต้องรักษาด้วยวิธีนี้ จากคำบอกเล่าแบบปากต่อปากเกี่ยวกับอาการหลังให้คีโมผลข้างเคียงที่ทำให้กำลังใจในการรักษาหดหายไปพอสมควร ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยคีโมของผู้ป่วย ผู้ป่วยบางคนเลือกที่จะปฏิเสธการรักษาด้วยวิธีนี้ วันนี้เราจึงนำข้อมูลที่ถูกต้องมาบอกต่อให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้น ว่าจริง ๆ แล้วการให้คีโมผลข้างเคียงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้เลย

คลายความสงสัย เพราะเหตุใดผู้ป่วยมะเร็งถึงต้องให้คีโมผลข้างเคียง

คีโมหรือเคมีบำบัด (Chemotherapy) คือ การนำยาหลากหลายรูปแบบเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีกินหรือฉีด ทั้งนี้ก็เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ทำลายเซลล์มะเร็ง และป้องกันการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้การให้คีโมจึงเป็นวิธีรักษามะเร็งที่สำคัญ ที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเพื่อป้องกันการลุกลามและแพร่กระจาย จนอาการป่วยทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องกังวลใจกับผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น เพราะที่จริงแล้วผลข้างเคียงนั้นเป็นเพียงแค่อาการชั่วคราว พอเคมีบำบัดที่ได้รับหมดฤทธิ์ร่างกายก็จะกลับสู่ภาวะปกติ พร้อมกับเซลล์มะเร็งในร่างกายที่ถูกทำลายไป

7 อาการที่พบมากหลังให้คีโมผลข้างเคียงที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกลัว

ผู้ป่วยมะเร็งแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งประเภทไหน หลังให้คีโมผลข้างเคียงที่เกิดจะเป็นมากเป็นน้อยแตกต่างกันไป โดย 7 อาการที่พบมากมีดังต่อไปนี้
1. ผมหรือขนตามร่างกายหลุดร่วง
2. มีไข้หนาวสั่น
3. คลื่นไส้ พะอืดพะอม และอาเจียน
4. ช้ำเป็นจ้ำ และเลือดออกง่าย
5. ปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
6. เกิดปัญหากับระบบขับถ่าย อาทิ ท้องผูก ท้องเสีย ถ่ายเหลว กั้นอุจจาระไม่ได้
7. ติดเชื้อง่ายขึ้นกว่าปกติ

สาเหตุที่หลังให้คีโมผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย

ด้วยตัวยาเคมีบำบัดที่จำเป็นต้องใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงและใช้หลากหลายขนาน เพื่อให้มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะยับยั้งและทำลายเซลล์มะเร็ง ทำให้ผู้ป่วยที่รับคีโมเกิดอาการข้างเคียงต่าง ๆ ตามมาค่อนข้างมาก ซึ่งอาการเหล่านี้หลาย ๆ คนเรียกว่า อาการแพ้คีโมนั่นเอง โดยอาการแพ้คีโมผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันออกไป บางคนเป็นมากบางคนเป็นน้อย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ยิ่งดูแลรักษาสุขภาพร่างกายดี ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ผลข้างเคียงที่เกิดก็จะน้อย เพราะร่างกายแข็งแรงพอที่จะต้านฤทธิ์ยาได้

ได้ทราบกันไปแล้วว่าการรักษามะเร็งด้วยการให้คีโมผลข้างเคียงที่เกิดนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ซึ่งไม่ว่าผู้ป่วยจะเกิดอาการแพ้คีโมมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าอาการของโรคมะเร็งจะทรุดหรือทวีความรุนแรงตามผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่อาการที่เกิดหลังได้รับเคมีบำบัดเท่านั้น แต่ถึงแม้จะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหลังให้คีโมก็ควรมีคนในครอบครัวดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยดูแลให้ผู้ป่วยข้ามผ่านความทรมานนี้ไปได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มกำลังใจให้กับผู้ป่วยมะเร็งได้อีกด้วย เพราะการมีกำลังใจที่ดี คือ หัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรคมะเร็งได้

🧬 I.M.U.RA 🧬

อาหารเสริม ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ลดอาการข้างเคียงคีโม
เพิ่มภูมิคุ้มกัน จากสารสกัดจากธรรมชาติ
สูตรเฉพาะจากงานวิจัย ที่ทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันสูงสุด

หน้าที่และการทำงานของ I.M.U.RA 

อิมูร่าเค้าจะเข้าไปดูแลในส่วนที่เป็นผลข้างเคียงจากคีโม เช่น อาเจียน อักเสบในช่องปากและหลอดอาหาร นอนไม่หลับ การอักเสบทั้งหมดที่เกิดภายใน
กระตุ้นเม็ดเลือดขาว ชนิด nk cell และ nk cell activities ให้เพิ่มขึ้นและทำงานเต็มที่ เพื่อเตรียมร่างกายให้อยู่ในความสมบูรณ์เต็มที่ พร้อมให้คีโม ฉายแสง หรือยาพุ่งเป้า
หลังจากที่ทานอิมูร่าแล้ว สารสกัด Resveratrol ในอิมูร่าจะเข้ามาดูแลเรื่องของเซลล์ที่ถูกทำลายจากคีโม เสริมสร้างเซลล์เกิดใหม่ เราเรียกว่าเซลล์เด็ก เมื่อคีโมเข้าร่างกายเค้าทำลายทั้งัเซลล์ร้ายและดีที่ตาย อิมูร่าก็จะเจ้าไปดูตรงนั้น ลดการอักเสบในระดับเซลล์
และยังมีCb drive ช่วยในเรื่องของลดผลข้างเคียง คีโม เช่น ความเจ็บปวด อาเจียน และช่วยเรื่องการนอนหลับค่ะ
CB DRIVE คือ สารสกัดที่ให้ฤทธิ์เทียบเท่ากัญชา ทั้งหมดจะเป็นกลไกการทำงานของอิมูร่า ซึ่งสารสกัดนี้ได้มาจากเมล็ดองุ่น ดังนั้นผู้ป่วยที่จะเริ่มต้นดื่มอิมูร่า ไม่ต้องกังวลว่าจะติดเพราะไม่ใช่สารสกัดจากกัญชาโดยตรง ถึงแม้ว่าจะมีสารสกัดจากน้ำมันกัญชา ซึ่งก็ใช้ปริมาณที่ต่ำมากๆ

วิธีการดื่มอิมูร่าให้ได้ผล

ข้อแนะนำควรดื่มอย่างต่อเนื่องทุกวัน เดือนละ 1 กล่อง (1กล่องดื่มได้ 28 วัน)
อย่าลืมว่าเซลล์ที่ถูกทำลายด้วยภาวะของโรค ซ้ำด้วยเคมี มันไม่ง่ายที่จะสร้างตัวเองให้แข็งแรงด้วยซ้ำ อย่างที่ลูกค้าบอกคะ ว่าอนาคตไม่รู้แต่ถ้าเราเตรียมพร้อมไว้

ภูมิคุ้มกันมีมากจนเวลาที่ถูกทำลายด้วยคีโมเค้าก็ยังมีเหลือ แต่ถ้าเราไม่มีอะไรช่วยเลย ทุกๆครั้งของการรับเคมีเข้ามา ถ้าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปมันสร้างได้ไม่พอ หรือช้ากว่าที่จะช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเคมีได้ เวลามันย้อนกลับไม่ได้ เพียงวันละไม่ถึง 70 บาทพร้อมดื่มวันนี้หรือยัง? ดื่มจบตามแผนการรักษา ก็หยุดทานได้ตามปกติ หรือทานต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันไวรัส

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคร้ายใกล้ตัวคุณที่ไม่อาจมองข้าม

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง-imurathailand

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เกิดจากอะไร ก่อนที่เราจะไปทราบรายละเอียดกันนั้น เราต้องจะต้องดูส่วนประกอบกันก่อนว่าในร่างกายกายเรานั้น มีต่อมน้ำเหลือง และระบบน้ำเหลืองในร่างกายของเรานั้นประกอบด้วยอะไร และสาเหตุการเกิดอาการ การป้องกันโรคร้ายนี้ทำอย่างไร มาดูกันค่ะ

ต่อมน้ำเหลือง รู้กันดีอยู่แล้วว่าร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วยน้ำเหลือง และเลือด แล้วระบบน้ำเหลืองสำคัญกับเราอย่างเรา

ระบบน้ำเหลืองคืออะไร

ระบบน้ำเหลือง (Lymphatic System) คือการเชื่อมต่อระหว่างเนื้อเยื่อ หลอดเลือด และอวัยวะในร่างกายเพื่อไหลเวียนของเหลวไร้สี ที่เรียกอีกอย่างว่า “น้ำเหลือง) ให้กลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต

น้ำเหลืองจะไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย คล้ายกับการไหลเวียนของเลือด

หน้าที่หลัก ของระบบน้ำเหลือง มีอะไรบ้าง (เรามาดูกันค่ะ)

-รักษาความสมดุลระดับน้ำในร่างกาย โดยการสะสมน้ำส่วนเกินที่ไหลออกมาจากเซลล์และเนื้อเยื่อ แล้วส่งกลับเข้าสู่กระแสเลือด

-ดูดซึมไขมันและวิตามินที่ละลายในไขมัน ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร แล้วส่งคืนกลับเข้าสู่กระแสเลือด

-ป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ โดยการผลิตเม็ดเลือดขาวชนิดลิมไฟไซต์ (Lymphocyte) รวมถึงเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ ที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายเช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เป็นต้น  ลำเลียงและกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติออกจากน้ำเหลือง

ส่วนประกอบของน้ำเหลือง

ระบบน้ำเหลืองเป็นอะไรที่ซับซ้อน ดังนั้นวันนี้จะมาแยกแยะส่วนต่างๆให้ดูกันค่ะว่าน้ำเหลืองมีส่วนใดบ้าง

-น้ำเหลือง คือของเหลวส่วนเกินที่ไหลออกมาจากเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย รวมเข้ากับสารอื่นๆ เช่น โปรตีน แร่ธาตุ ไขมัน เซลล์น้ำเหลืองช่วยลำเลียงเซลล์เม็ดเลือดขาวไปยังจุดต่างๆ ในร่างกาย เพื่อช่วยปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคและการติดเชื้อต่างๆ

-ต่อมน้ำเหลือง มีลักษณะคล้ายเม็ดถั่ว ทำหน้าที่คอยสังเกตุการณ์และกรองเอาของเสียและเซลล์มะเร็งออกจากน้ำเหลือง นอกจากนี้ยังผลิตและเก็บเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ และเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ ที่จะโจมตีรวมถึงกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเราอีกด้วย

ในร่างกายคนเรานั้นจะมีต่อมน้ำเหลืองอยู่ประมาณ 600 ต่อม ซึ่งกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วร่างกาย และเมื่อร่างกายเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ ต่อมน้ำเหลืองก็มักจะตอบสนองด้วยการบวมขึ้น เพราะมีการสะสมของเซลล์เม็ดเลือดขาว เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อจุลินทรีย์อื่นๆ ที่อยู่ในต่อมน้ำเหลือง

-ท่อน้ำเหลือง ทำหน้าที่ในการลำเลียงน้ำเหลืองไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย ท่อน้ำเหลืองนั้นจะรวบรวมเซลล์และน้ำเหลืองส่วนเกิน ก่อนจะนำไปกรองที่ต่อมน้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง ทำงานคล้ายกับหลอดเลือด แต่จะมีแรงดันในท่อน้ำเหลืองที่ต่ำกว่ามาก และมีวาล์วสำหรับเปิดปิดเพื่อช่วยให้น้ำเหลืองไหลไปในทิศทางเดียวกัน

-ท่อรวบรวม คือท่อที่เชื่อมต่อระหว่างท่อน้ำเหลืองกับหลอดเลือดดำ ทำหน้าที่นการส่งน้ำเหลืองคืนเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ปริมาณและแรงดันของเลือดอยู่ในระดับที่ปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อมากเกินไปอีกด้วย

โรคที่เกี่ยวกับระบบน้ำเหลืองที่พบได้บ่อย 

-มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
-ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ
-โรคบวมน้ำเหลือง


วันนี้จะนำโรคที่เกี่ยวกับน้ำเหลืองที่เป็นโรคอันดับต้นๆ ที่พบบ่อยในคนไทยเลยก็ว่าได้ นั่นคือ “โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง”


“มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” เป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่อยู่ใกล้ตัวเรา และไม่ควรมองข้ามเช่นกัน ควรใส่ใจและให้ความสำคัญ โดยการสังเกตตนเองอยู่เสมอ เมื่อพบเจอสิ่งผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ทันท่วงที เพื่อรีบรักษา

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คืออะไร?

โรคที่มีเนื้องอกร้ายชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองหรือโครงสร้างต่อม ซึ่งระบบน้ำเหลืองก็เป็นระบบหนึ่งของภูมิคุ้มกัน ประกอบไปด้วย อวัยวะน้ำเหลือง ได้แก่ ม้าม และไขกระดูก ซึ่งภายในอวัยวะเหล่านี้จะเต็มไปด้วยน้ำเหลือง  มีหน้าที่นำสารอาหารและเซลล์เม็ดเลือดขาวไปทั่วร่างกาย และเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้เกิดความผิดปกติ จึงทำให้เกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขึ้นมา

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถเกิดได้ในทุกที่ในร่างกาย เพราะต่อมน้ำเหลืองมีอยู่ทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น คอ รักแร้ ข้อพับแขน ข้อพับขา ช่องอกหรือช่องท้อง แต่ยังไงก็ตามเซลล์น้ำเหลืองก็ยังอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็นลำไส้ หรือกระเพาะ จึงสามารถเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้หมดทุกที่

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการคาดการณ์เบื้องต้นพบว่ามีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

  • ปัจจัยทางเคมี วัตถุทางเคมีที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น สารเคมีปราบศัตรูพืช น้ำยาย้อมผม เป็นต้น
  • ปัจจัยทางภูมิคุ้มกัน ผู้ที่มีสมรรถภาพภูมิคุ้มกันโรคลดลง เช่น โรคเอดส์ การปลูกถ่ายอวัยวะ โรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น
  • ปัจจัยทางพันธุกรรม การเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้น มีความชัดเจนที่เกิดมาจากกรรมพันธุ์ทางครอบครัว เช่น พี่น้องอาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตามลำดับ หรือเป็นพร้อมกัน สาเหตุจากไวรัส การติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัส HIV เป็นต้น

ปัจจุบันมีการตรวจวินิจฉัยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ดีขึ้นมาก ส่งผลทำให้อัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น เนื่องจากการรักษาที่ดีขึ้น สำหรับวัยที่ตรวจพบมะเร็งต่อมน้ำเหลือง สามารถพบได้ในกลุ่มวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 20 ปีถึง 40 ปี  ทั้งนี้ก็ยังมีการตรวจพบในผู้สูงอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป

อาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

คลำพบก้อนที่บริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ โดยก้อนเหล่านั้นจะไม่มีอาการเจ็บ ต่างจากการติดเชื้อที่จะมีอาการเจ็บที่ก้อนเนื้อ มีไข้ หนาวสั่น มีเหงื่อออกมากในกลางคืน เบื่ออาหาร น้ำหนักลดเร็ว  อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ ไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก ต่อมทอนซิลโต ปวดศีรษะ ซึ่งอาการนี้มักพบบริเวณต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท แต่บางครั้งการคลำเจอก้อนก็อาจไม่ใช่ก้อนมะเร็งเสมอไป เพราะอาจเป็นเรื่องของการอักเสบจากการติดเชื้อ หรืออาจเป็นตัวโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่มะเร็ง


มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถรักษาให้หายเด็ดขาดได้ ถ้าไม่ได้อยู่ในระยะแพร่กระจาย จึงควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอ หากคลำเจอก้อนเวลาอาบน้ำก็ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อการรักษาได้อย่างทันท่วงที


สำหรับระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 พบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพียงตำแหน่งเดียว เช่น บริเวณลำคอด้านซ้าย หรือบริเวณรักแร้ด้านขวา บริเวณใดบริเวณหนึ่ง

ระยะที่ 2 พบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่สองตำแหน่งขึ้นไป แต่จะต้องอยู่ด้านเดียวกันของกระบังลม เช่น บริเวณคอด้านซ้าย และคอด้านขวา หรือคอซ้ายกับรักแร้ซ้าย

ระยะที่ 3 พบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งส่วนบนและส่วนล่างของกระบังลม เช่น มีต่อมน้ำเหลืองโตที่รักแร้ร่วมกับที่ขาหนีบ

ระยะที่ 4 โรคจะกระจายออกนอกระบบน้ำเหลือง เช่น เกิดที่ไขกระดูก หรือเนื้อเยื่ออวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด สมอง กระดูก

วิธีการตรวจหามะเร็งต่อมน้ำเหลือง

แพทย์จะทำการซักประวัติคนไข้ และตรวจร่างกายเป็นลำดับ หรือตัดชิ้นเนื้อของต่อมน้ำเหลืองออกไปตรวจทางพิษวิทยา ส่วนการรักษาจะใช้วิธีการให้ยาเคมีบำบัด จำนวนครั้งในการให้ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่ดูแลในเคสนั้นๆ

ซึ่งการรักษาโรคนี้จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลอยู่ หากตัวโรคมีความรุนแรงมากจะใช้วิธีการฉายแสงจากภายนอก หรือในคนไข้ที่มีข้อห้ามในเรื่องของการให้ยาก็จะได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้เช่นกัน
โดยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะไม่ต้องผ่าตัด เนื่องจากเป็นโรคที่ตอบสนองต่อยาและแสงเคมีบำบัดมากๆ อยู่แล้ว

วิธีการดูแลตนเองสำหรับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนี้ คือ

พยายามทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาจจะเน้นอาหารที่มีพลังงานเยอะ เช่น ไข่ขาว หรืออาหารที่มีโปรตีนสูงก็ช่วยได้ เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ แต่ควรหลีกเลี่ยงพวกยาชุด ยาชุด ยาหม้อ ยาลูกกลอน และควรออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยให้สุขภาพดี

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
อ. พญ.กีรติกานต์ บุญญาวรรณดี
หน่วยรังสีรักษา และมะเร็งวิทยา
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

“CANCER WITH ME” ส่งต่อกำลังใจให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกคน

ผู้ป่วยมะเร็ง

สวัสดีค่ะชื่อต่ายเจ้าของเพจ “มาจะเล่าให้ฟัง CANCER WITH ME” เป็นผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะ 4 ค่ะมีแรงบันดาลใจจากการป่วยและอยากให้กำลังใจคนที่ป่วยเหมือนกันจึงอยากส่งต่อกำลังใจให้ทุกๆคน

CANCER WITH ME-www imurathailand

เมื่อชีวิตของเราได้เปลี่ยนไปเพราะมีมะเร็งเข้ามา จะทำอย่างไร?

ต่ายเป็นสาววัยทำงานคนนึงที่ชีวิตกำลังไปได้สวยมากๆ ทั้งหน้าที่การงานชีวิตส่วนตัว และที่สำคัญต่ายกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่เดือน แต่ภารกิจต่างๆต้องถูกพับเก็บไว้ก่อน เนื่องจากหลังวันเกิดอายุ 28 ปีเพียงไม่กี่เดือนต่ายถูกตรวจพบว่ามีก้อนเนื้อขนาดใหญ่ราวๆ 8 cm. อยู่ในช่องอกจากการทำ x-ray ปอดคุณหมอไม่นิ่งนอนใจจับเราทำ CT-SCAN ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจจึงมั่นใจว่าเราเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด (Hodgkin’s) เข้าระยะที่ 4 นอกจากก้อนตรงช่องอก ยังเจอที่ตับด้วยอีกนิดหน่อยตอนนั้นบ้านเราช็อกกันหมดทั้งบ้าน เพราะเราแข็งแรงดีไม่มีสัญญาณใดๆบ่งบอกเลยว่าจะเป็นมะเร็งตอนอายุเท่านี้

CANCER WITH ME

เมื่อรู้แล้วว่ามะเร็งเข้ามาอยู่กับเราแล้ว ต้องทำอย่างไรต่อไป

แน่นอนวันที่รู้ว่ามะเร็ง (cancer) เข้ามาเยือนตัวเราแล้ว ถ้ามัวแต่ตกใจสติหลุดฟูมฟายคงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแน่ๆ เราตั้งสติศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ทั้งกับญาติๆเราที่เป็นคุณหมอและศึกษาข้อมูลงานวิจัยผ่านทาง Internet รวมถึงทั้งปรึกษาคุณหมอเจ้าของไข้ของเราด้วย คุณหมอบอกว่าเราอาจโชคร้ายที่เป็นมะเร็งแต่ก็ยังโชคดีที่เป็นมะเร็งชนิดนี้ เพราะมะเร็งตัวนี้ตอบสนองต่อยาดีมากๆ ต่อให้เป็นระยะ 4 โอกาสในการหายขาดก็มีมากด้วย เราได้ทั้งกำลังใจจากคนรอบข้างและที่สำคัญคือกำลังใจจากตัวเอง

เคมีบำบัดกับการรักษาโรคมะเร็ง-www imurathailand

ขั้นตอนการวางแผนรักษามะเร็ง (CANCER)

คุณหมอวางแพลนให้คีโมบำบัดสูตรที่ 1 (จำนวน 6 Cycle) โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4-5 เดือนเมื่อถึงเวลาที่ต้องเริ่มให้คีโมบำบัดครั้งแรกเราก็ตื่นเต้นมากมันจะแย่ขนาดไหนกันนะได้ยินคนเค้าพูดกันมาว่ามันต้องทรมานอย่างนั้นอย่างนี้สรุปตอนที่ให้ก็เหมือนให้น้ำเกลือปกติเรานั่งคุยกับที่บ้านนั่งทานข้าวอย่างสบายใจแต่หลังจากนั้นประมาณ 3-5 วันเราจะมึนๆต้องรอให้ร่างกายฟื้นตัวก็จะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับเราไม่ค่อยแพ้คีโมเท่าไหร่ไม่เคยอาเจียนเลยสักครั้งเวลาเรากำลังรอฟื้นตัวจากคีโมเราก็จะคิดว่าถ้าเราฟื้นตัวแล้วเราจะทำอะไรดีนะใส่ชุดสวยไปเที่ยวไหนดีใส่วิกอันไหนดี
เราให้คีโมตั้งแต่ต้นจนจบเราก็ยังขับรถไปทำงานประจำของเราตามปกตินะเราคิดตลอดว่าไม่เป็นไรรักษาไปเดี๋ยวมันก็ต้องหายเราใช้ชีวิตค่อนข้างปกติมากๆแค่ระวังตัวมากขึ้นเราจะไม่โฟกัสกับตัวโรคมากจนจิตตกเราถือคติที่ว่าใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกๆวันไม่ว่าจะต้องต่อสู้กับอะไรก็ตาม

เมื่อต้องทำเคมีบำบัดหรือการให้คีโม

ตามคาดเราทำ Pet/CT scan หลังให้ยาเคมีบำบัดไป 3 cycle ผลออกมาดีมากคือก้อนเนื้อยุบลงไปเยอะมากตรงช่องอกจาก 8.8 cmเหลือเพียง 3 cm. กว่าๆเท่านั้นเองตรงตับก็ไม่มีจุดอะไรแล้วแต่โชคอาจไม่เข้าข้างเท่าไหร่เพราะหลังจากจบคอร์สการให้ยา 2 เดือนกลับพบว่าก้อนเนื้อตรงช่องอกกลับยังไม่สงบจริงๆมันยังโตขึ้นมาอีกจากมิลกลับมาเป็นเซนติเมตร แถมยังกระจายไปตรงหลอดลมอีกด้วยคราวนี้ต้องมาวางแผนการรักษาใหม่คือเปลี่ยนยาเคมีบำบัดสูตรใหม่ที่แรงขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าตัว + ให้ยามุ่งเป้าร่วมด้วยพร้อมทั้งตัองปลูกถ่ายไขกระดูกอีกโดยของเราสามารถใช้สเต็มเซลล์ของตัวเองในการปลูกถ่ายได้เพราะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและสามารถเก็บสเต็มเซลล์ได้เกินเป้าที่คุณหมอต้องการตอนนั้นคิดในใจเลยว่าดีจังตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ด้วย

มาถึงวันนี้เรารักษาครบทุกขั้นตอนในระยะเวลา 1 ปีกับอีก 4 เดือนเหลือแค่ยามุ่งเป้าที่ต้องให้ต่ออีกแค่ 6 ครั้งก็ถือว่าจบการรักษาน่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 6 เดือนในระยะเวลาที่ดีใจตลอดผลเลือดเราสามารถรับคีโมได้ตรงตามเวลาที่คุณหมอกำหนดตลอดไม่เคยเลื่อนการรับคีโมเลยเราคิดว่าถ้ากำลังใจจากตัวเราดีแล้วเราสู้ถึงที่สุดแล้วจะแพ้จะชนะยังไงเราถือว่าเราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว

ค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งครั้งนี้

ในเรื่องของค่าใช้จ่ายต้องบอกเลยว่ามหาศาลมากแค่คีโมต่อครั้งก็หลักหมื่นยามุ่งเป้าตกขวดละเป็นแสนในแต่ละครั้งเราต้องใช้ยามุ่งเป้าจำนวน 2 ขวดถ้าตีเป็นเงินคงไม่มีใครอยากนับเลยแต่ยังถือว่าเรายังพอโชคดีบ้างที่สิทธิประกันสังคมคอย Support บางส่วนซึ่งถือว่าช่วยได้มากทีเดียวรวมถึงทั้งต่ายยังไม่ประมาทกับชีวิตโดยการทำประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายเอาไว้ตัวเราเองจึงไม่ค่อยเครียดกับค่ารักษามาก ค่าอาหารเสริมก็หนักเอาการเหมือนกันแต่เราเลือกที่จะยอมจ่ายเพราะเราอาจจะทานอาหารไม่ถึงก็ยังมีอาหารเสริมที่มาคอยช่วยดูแลร่างกายที่โดนคีโมมานับไม่ถ้วนให้ฟื้นตัวไวขึ้นมาบ้าง โดยต่ายเลือกทานอาหารเสริม I.M.U.RA เพราะสารอาหารที่ครบถ้วนช่วยฟื้นฟูร่างกายต่ายได้อย่างดีทีเดียว

บทสรุป

สุดท้ายมะเร็งสอนให้ต่ายรู้ว่าชีวิตของเรามีแค่ชีวิตเดียวไม่ควรประมาทต่อชีวิตทุกสิ่งบนโลกล้วนไม่มีความแน่นอนใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุขมากที่สุดเพราะเราไม่รู้เลยว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตเรา

เคมีบำบัดกับการรักษามะเร็ง

เคมีบำบัดกับการรักษาโรคมะเร็ง-www imurathailand

ปัญหาจากการทำคีโม-เคมีบำบัด

โรคมะเร็ง เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลกและเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ โดยมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับหนึ่ง ได้แก่

  1. มะเร็งปอด
  2. มะเร็งเต้านม
  3. มะเร็งลำไส้ใหญ่
  4. มะเร็งกระเพาะอาหาร

    ส่วนมะเร็งที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่ง คือ

    –  มะเร็งปอด
    – มะเร็งกระเพาะอาหาร
    – มะเร็งตับ
    – มะเร็งลำไส้ใหญ่

นอกจากนี้ยังมีโรคมะเร็งที่พบได้อีก เช่น มะเร็งตับอ่อน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งศีรษะและลำคอ มะเร็งกระดูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ การรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัดเป็นรูปแบบการรักษาที่สำคัญและเป็นการรักษาแรกที่นำมาใช้รักษาโรคมะเร็งที่ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติอีกครั้ง

มะเร็งที่รักษาให้หายขาดได้

โรคมะเร็งที่รักษาให้หายขาดได้ (Curable Cancer) นั้น ส่วนใหญ่ถ้าสามารถวินิจฉัยได้ในระยะเริ่มแรก โดยมากจะรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด เช่น โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น แต่หากวินิจฉัยเมื่อโรคเป็นมากแล้วและมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ มักไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

แต่ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าในการรักษาโรคมะเร็ง ทำให้โรคมะเร็งบางชนิดที่แม้มีการแพร่กระจายไปแล้วก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยโรคมะเร็งที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ (Curable) ด้วยยาเคมีบำบัด ประกอบไปด้วย
1. โรคมะเร็งอัณฑะ
2. โรคมะเร็งเนื้อรก หรือ Choriocacinoma
3. โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด
4. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด

วิธีการรักษาโรคมะเร็ง

การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาแบบสหสาขา หมายถึง การรักษาโดยทีมแพทย์หลายสาขาร่วมกัน ประกอบด้วย
• แพทย์รังสีวินิจฉัย
• แพทย์รังสีร่วมรักษาช่วยในการวินิจฉัย การตัดชิ้นเนื้อเพื่อการวินิจฉัย การฉีดยาเคมีบำบัดเข้าสู่เส้นเลือดแดงที่เลี้ยงก้อนมะเร็งโดยตรง
• ศัลยแพทย์โรคมะเร็งที่ทำการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก
• แพทย์ทางรังสีรักษาที่ให้การรักษาด้วยแสงรังสีรักษา
• อายุรแพทย์มะเร็งวิทยาที่ให้การรักษาทางยา ซึ่งประกอบไปด้วย
◦ การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) นับเป็นการรักษาหลักของการรักษาทางยาที่ใช้มากที่สุดในการรักษาโรคมะเร็งปัจจุบัน  โดยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) อาจใช้เป็นการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอย่างเดียว หรืออาจใช้ยาเคมีบำบัดร่วมกับรังสีรักษาที่เรียกว่า Chemoradiation อาจใช้ยาเคมีบำบัดร่วมกับยามุ่งเป้า หรือยาภูมิคุ้มกันบำบัดได้ โดยขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรคมะเร็ง
◦ การรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมน (Hormonal Therapy) นับเป็นการรักษาที่ใช้รองลงมาจากการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
◦ การรักษาด้วยยามุ่งเป้า (Targeted Therapy)
◦ การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) โดยการพยายามใช้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง

ระยะโรคมะเร็งและแนวทางการรักษา

วิธีการรักษาโรคมะเร็งจะมีแนวทางการรักษาตามระยะของโรคมะเร็งโดยทั่วไปแบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่

• โรคมะเร็งระยะที่ 1 – 2 คือ

โรคมะเร็งระยะแรกที่สามารถผ่าตัดได้ หลังการผ่าตัดผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องให้การรักษาเสริมภายหลังด้วยยาเคมีบำบัดและ / หรือยาต้านฮอร์โมน ที่เรียกว่า Adjuvant Treatment

• โรคมะเร็งระยะที่ 3 คือ

โรคมะเร็งที่มักมีการลุกลามมากขึ้น โดยมีการกระจายไปต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงบางรายสามารถผ่าตัดได้ ศัลยแพทย์ก็จะผ่าตัดก่อน หลังการผ่าตัดผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องให้การรักษาเสริมภายหลังด้วยยาเคมีบำบัด และ / หรือรังสีรักษา และ / หรือยาต้านฮอร์โมน  และ / หรือยามุ่งเป้า  เหตุผลที่มีการนำเอายาเคมีบำบัดและยาอื่น ๆ มาให้เสริมหลังผ่าตัดก็เพื่อลดอุบัติการณ์ของการกลับมาของโรคมะเร็งทั้งแบบเฉพาะที่และแบบแพร่กระจาย ซึ่งท้ายที่สุดจะเพิ่มระยะเวลาการรอดชีวิตของผู้ป่วย
ในบางรายที่โรคเป็นมากและการผ่าตัดอาจทำได้แต่ผลการรักษาอาจไม่ดีเนื่องจากขนาดก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่จึงมีการนำเอายาเคมีบำบัดมาใช้รักษาในระยะเบื้องต้นก่อนการผ่าตัดเพื่อให้ก้อนเล็กลงทำให้ศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดเก็บอวัยวะหรือผ่าตัดเก็บเต้านมได้ จากนั้นก็ให้การรักษาอื่นตามในภายหลัง

ในบางรายที่โรคเป็นมากและการผ่าตัดอาจทำได้แต่ผลการรักษาอาจไม่ดีเนื่องจากขนาดก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่จึงมีการนำเอายาเคมีบำบัดมาใช้รักษาในระยะเบื้องต้นก่อนการผ่าตัดเพื่อให้ก้อนเล็กลงทำให้ศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดเก็บอวัยวะหรือผ่าตัดเก็บเต้านมได้ จากนั้นก็ให้การรักษาอื่นตามในภายหลัง

• โรคมะเร็งระยะที่ 4

หรือโรคมะเร็งระยะที่ 1 – 3 และมีการกลับมาของโรค ผู้ป่วยจะมีโรคลุกลามมากขึ้นและแพร่กระจายไปอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด ตับ กระดูก สมอง และที่อื่น ๆ ซึ่งโรคมะเร็งระยะที่ 4 นี้ โรคมะเร็งบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาเคมีบำบัด เช่น โรคมะเร็งอัณฑะ โรคมะเร็งเนื้อรก เป็นต้น

การรักษาแบบเคมีบำบัดคืออะไร?

การรักษาด้วยเคมีบำบัด หมายถึง การให้ยาซึ่งมีฤทธิ์ทำลายหรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อร้าย บางครั้งอาจมีผลทำให้เซลล์ปกติของร่างกายถูกทำลาย ส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปากอักเสบ เบื่ออาหาร ภูมิต้านทานต่ำ ท้องเสีย ผมร่วง ซึ่งอาการเหล่านี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของยา สภาวะความแข็งแรงของร่างกาย รวมถึงความพร้อมทางด้านจิตใจของผู้ป่วย

วิธีการให้เคมีบำบัดมี 2 วิธี

  • ยาเคมีบำบัดสามารถบริหารเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยได้หลายวิธี ได้แก่
  • เคมีบำบัดชนิดรับประทาน
  • เคมีบำบัดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด

ระยะเวลาในการรักษาด้วยเคมีบำบัด

ระยะเวลาในการรักษาด้วยเคมีบำบัดขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ระยะของโรค และการตอบสนองต่อยา โดยปกติยาเคมีบำบัดจะให้เป็นชุด ใช้เวลา 1-5 วันต่อชุด แต่ละชุดห่างกัน 3-4 สัปดาห์ ซึ่งผู้ป่วยอาจได้รับเคมีบำบัดเฉลี่ย 6-8 ชุด (ขึ้นกับแผนการรักษาของแพทย์) โดยผู้ป่วยควรมารับยาตามนัดทุกครั้งเพื่อผลการรักษาที่ดี

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับเคมีบำบัด

  • ด้านร่างกาย
    รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอและเพิ่มการนอนพักในช่วงกลางวันอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงต่อวัน หากมีโรคประจำตัว เช่น หัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคที่ต้องรับประทานยาเป็นประจำ ต้องแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบ
  • ด้านจิตใจ
    ควรทำอารมณ์และจิตใจให้พร้อมรับการรักษา ลดความกลัวและความวิตกกังวลลง
    มั่นใจในวิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งสามารถลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
    ถ้าท่านรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับโรค การรักษา การดูแลตนเอง ควรปรึกษาแพทย์และพยาบาล

การดูแลตนเองขณะรับเคมีบำบัด

สังเกตผิวหนังบริเวณที่ฉีดยา ถ้ารู้สึกปวด บวม แดง หรือสงสัยมียารั่วซึมออกนอกหลอดเลือด ต้องแจ้งพยาบาลทันที
ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับสารเคมีที่อาจตกค้างในร่างกายออกทางปัสสาวะ
ถ้ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ให้แจ้งพยาบาลทันที

เคมีบำบัด

บทสรุป

อย่างไรก็ตามโรคมะเร็งระยะแพร่กระจายนี้ส่วนมากรักษาไม่หายขาดแต่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้หากผู้ป่วยมีกำลังใจดีมีร่างกายที่แข็งแรงและมีภาวะโภชนาการที่ดีพอสมควร แพทย์จะสามารถให้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ที่เป็นการรักษาหลักในการรักษาโรคมะเร็งระยะแพร่กระจาย โดยยาเคมีบำบัดจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ทั้งที่อยู่เฉพาะที่และที่แพร่กระจายไป ในปัจจุบันมีการนำยามุ่งเป้าหรือยาภูมิคุ้มกันบำบัดมาใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง หากการตอบสนองของผู้ป่วยต่อยาเคมีบำบัดและยาที่ใช้ร่วมด้วยนั้นได้ผลดี การรักษาก็จะเพิ่มระยะเวลาการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้และคุณภาพชีวิตก็จะดีขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้การรักษาอื่นๆของโรคมะเร็งระยะที่ 4 อาจเป็นการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมน การรักษาด้วยยามุ่งเป้า หรือ Targeted Therapy และ ภูมิคุ้มกันบำบัด
(Immunotherapy) แล้วแต่ชนิดของโรคมะเร็ง

อย่างไรก็ตามหน้าที่การรักษาเป็นของคุณหมอ หน้าที่เตรียมร่างกายเป็นของเรา ให้อิมูร่าดูแลคุณในทุกครั้งก่อนและหลังการให้เคมีบำบัด เพื่อเตรียมความพร้อมร่างกายในการรักษาครั้งต่อไป

จำหน่ายอาหารเสริมเพิ่ม Nk Cell-9สารสกัดที่สำคัญ

ทำไมต้องทานอาหารเสริม อิมูร่า ลดอาการหลังรับเคมีบำบัด

อิมูร่าเค้าจะเข้าไปดูแลในส่วนที่เป็นผลกระทบจากคีโมหรือเคมีบำบัด เช่น อาเจียน อักเสบในช่องปากและหลอดอาหาร นอนไม่หลับ การอักเสบทั้งหมดที่เกิดภายใน
กระตุ้นเม็ดเลือดขาว ชนิด nk cell และ nk cell activities ให้เพิ่มขึ้นและทำงานเต็มที่ เพื่อเตรียมร่างกายให้อยู่ในความสมบูรณ์เต็มที่ พร้อมให้เคมีบำบัด ฉายแสง หรือยาพุ่งเป้า
หลังจากที่ทานอิมูร่าแล้ว สารสกัด Resveratrol ในอิมูร่าจะเข้ามาดูแลเรื่องของเซลล์ที่ถูกทำลายจากคีโม เสริมสร้างเซลล์เกิดใหม่ เราเรียกว่าเซลล์เด็ก เมื่อคีโมเข้าร่างกายเค้าทำลายทั้งัเซลล์ร้ายและดีที่ตาย อิมูร่าก็จะเจ้าไปดูตรงนั้น ลดการอักเสบในระดับเซลล์
และยังมีCb drive ช่วยในเรื่องของลดความเจ็บปวด อาเจียน และช่วยเรื่องการนอนหลับค่ะ
CB DRIVE คือ สารสกัดที่ให้ฤทธิ์เทียบเท่ากัญชา ทั้งหมดจะเป็นกลไกการทำงานของอิมูร่า ซึ่งสารสกัดนี้ได้มาจากเมล็ดองุ่น ดังนั้นผู้ป่วยที่จะเริ่มต้นดื่มอิมูร่า ไม่ต้องกังวลว่าจะติดเพราะไม่ใช่สารสกัดจากกัญชาโดยตรง ถึงแม้ว่าจะมีสารสกัดจากน้ำมันกัญชา ซึ่งก็ใช้ปริมาณที่ต่ำมากๆ
อาหารเสริมสำหรับคนทำคีโมหรือเคมีบำบัด

วิธีการดื่มอิมูร่า ลดผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด

ข้อแนะนำควรดื่มอย่างต่อเนื่องทุกวัน เดือนละ 1 กล่อง (1กล่องดื่มได้ 28 วัน)
อย่าลืมว่าเซลล์ที่ถูกทำลายด้วยภาวะของโรค ซ้ำด้วยเคมี มันไม่ง่ายที่จะสร้างตัวเองให้แข็งแรงด้วยซ้ำ อย่างที่ลูกค้าบอกคะ ว่าอนาคตไม่รู้แต่ถ้าเราเตรียมพร้อมไว้

ภูมิคุ้มกันมีมากจนเวลาที่ถูกทำลายด้วยคีโมเค้าก็ยังมีเหลือ แต่ถ้าเราไม่มีอะไรช่วยเลย ทุกๆครั้งของการรับเคมีเข้ามา ถ้าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปมันสร้างได้ไม่พอ หรือช้ากว่าที่จะช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเคมีได้ เวลามันย้อนกลับไม่ได้เพียงวันละไม่ถึง 70 บาท
พร้อมดื่มวันนี้หรือยัง? ดื่มจบตามแผนการรักษา ก็หยุดทานได้ตามปกติ หรือทานต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันไวรัส

 

ผลข้างเคียงคีโมมีอาการใดบ้าง

ผลข้างเคียงจากการทำคีโม-www imura

ผลข้างเคียงจากการทำคีโมมีอาการใดบ้าง

อาการข้างเคียงเหล่านี้มีหลายอย่างที่ป้องกันได้ โดยแพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้พิจารณาให้ยา หรือมาตรการในการป้องกัน อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไข บรรเทา หรือป้องกันอาการดังกล่าวได้ ดังนั้น ท่านจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเองเมื่อได้รับยาเคมีบำบัด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการรักษาจากยาสูงสุด โดยมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ตามที่ผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษาตั้งใจไว้ เรามาดูกันว่าอาการข้างเคียงของผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด หรือ เรียกอีกอย่างว่า คีโม นั้นมีอะไรบ้าง

    1. อาการไข้
    2. คลื่นไส้ อาเจียน
    3. ท้องผูก
    4. ฝ่ามือฝ่าเท้ามีสีแดงหรือดำคล้ำและเจ็บ
    5. อารมณ์แปรปรวนง่าย
    6. โลหิตจาง
    7. เจ็บปากเจ็บคอ
    8. ผมร่วง
    9. ชาปลายมือปลายเท้า
    10. จุดเลือดหรือจ้ำเลือด (ควรพบแพทย์ทันที)
    11. ผิวหนังและเล็บเปลี่ยนสี (ควรพบแพทย์ทันที)
    12. ท้องเสีย

      อาการคลื่นไส้ อาเจียน
       ซึ่งพบประมาณ 50% ของผู้เข้ารับการรักษาทั้งหมด จึงจัดเป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากอาการดังกล่าวทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลีย น้ำหนักลด เกิดภาวะขาดสารอาหารและเกลือแร่ และมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อการรักษาจนอาจมีผลต่อการรักษาได้ ในการป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนนั้นควรเริ่มให้ยาป้องกันตั้งแต่ก่อนการให้ยาเคมีบำบัดต่อเนื่องไป จนกระทั่งเลยช่วงเวลาที่ยาเคมีบำบัดจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน โดยการให้ยาป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียน มีวิธีการให้ยาได้หลายทาง ขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่ใช้ เช่น ชนิดรับประทาน การฉีดเข้าหลอดเลือด การฉีดเข้ากล้าม การสอดเข้าทางทวารหนัก การอมใต้ลิ้น หรือแบบแผ่นแปะผิดหนัง ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานยาทางปากได้

ดังนั้นอาการข้างเคียงเหล่านี้มีหลายอย่างที่ป้องกันได้ โดยแพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้พิจารณาให้ยา หรือมาตรการในการป้องกัน อย่างไรก็ตาม ท่านจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเองเมื่อได้รับยาเคมีบำบัด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการรักษาจากยาสูงสุด โดยมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ตามที่ผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษาตั้งใจไว้

อาการคลื่นไส้อาเจียน-www imura

อาการไข้จากผลข้างเคียงคีโม

อาการไข้ หมายถึง การที่มีอุณหภูมิในช่องปากมากกว่าหรือเท่ากับ 38 องศาเซลเซียส เป็นเวลามากกว่าหรือเท่ากับ 1 ชั่วโมง หรือมีอุณหภูมิรักแร้มากกว่าหรือเท่ากับ 37.8 องศาเซลเซียส

สาเหตุ ไข้อาจเป็นอาการนำของภาวการณ์ติดเชื้อ หรืออาการของโรคมะเร็งเอง อาจพบภาวะเม็ดเลือดขาว (ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้เชื้อโรคต่าง ๆ) ต่ำลงและเกิดการติดเชื้อ
ได้เมื่อท่านได้รับยาเคมีบำบัด สังเกตได้จากอาการไข้ รู้สึกหนาวสั่น เจ็บรอบ ๆ ทวารหนักหลังการให้ยาเคมีบำบัด โดยเฉพาะในช่วง 7-14 วัน หลังได้รับยาเคมีบำบัด

วิธีป้องกันการติดเชื้อโดยทั่วไป

– ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
– หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นไข้หวัดวัณโรค และงูสวัด เป็นต้น
– เมื่อท่านมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีผู้คนแออัด เช่น ตลาด โรงภาพยนตร์ หรือห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
– ดูแลร่างกายไม่ให้อับชื้น อาบน้ำให้สะอาดทุกวัน โดยใช้สบู่อ่อน ๆ เช่น สบู่เด็ก
– ระมัดระวังการใช้ของมีคมทุกชนิด
– หากถูกของมีคมบาด ให้รีบทำความสะอาดแผลและปิดด้วยผ้าพันแผล
– ควรสวมถุงมือทุกครั้งเพื่อป้องกันการเกิดแผลเวลาทำสวน หรืองานก่อสร้าง
– ทาครีมหรือโลชั่นถนอมผิว เพื่อป้องกันผิวแห้งแตก
– รับประทานอาหารที่สุกและสะอาด หลีกเลี่ยงของสุก ๆ ดิบ ๆ หรือของหมักดอง เช่น แหนม ปลาร้า ก้อย ส้มตำ และยำต่าง ๆ เป็นต้น
– เมื่อท่านมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักและผลไม้สด
– แปรงฟันให้สะอาด ด้วยแปรงสีฟันขนนุ่ม
– ควรมีเทอร์โมมิเตอร์สำหรับวัดไข้ติดตัวไว้ ถ้าท่านสงสัยว่ามีไข้ควรวัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อยืนยันอาการ
– หากมีอาการไข้ภายหลังจากการได้รับยาเคมีบำบัด ให้รีบมาพบแพทย์โดยด่วน

วิธีการรักษาเมื่อมีไข้จากผลข้างเคียงคีโม

1. รีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดดูว่าเม็ดเลือดขาวต่ำหรือไม่ ถ้าจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ แพทย์จะฉีดยาปฏิชีวนะให้โดยด่วน และรับตัวไว้รักษาใน
โรงพยาบาลทันที
2. อาจลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในช่วงเม็ดเลือดขาวต่ำ หรือในระยะเวลาที่มีไข้และเม็ดเลือดขาวต่ำได้ด้วยการฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว
ซึ่งขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล

โลหิตจางผลข้างเคียงคีโม

อาการ ซีด เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอก มึนศีรษะ อาจมีเลือดออกในทางเดินอาหารทำให้อุจจาระมีสีดำ แต่อาการที่พบบ่อยที่สุด คือ อ่อนเพลีย
สาเหตุ เกิดจากเม็ดเลือดแดงมีจำนวนลดลง ซึ่งอาจเป็นผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด มีเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือมีการสูญเสียเลือด รวมทั้งภาวะ
โรคมะเร็งเองก็อาจทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำลงได้เช่นเดียวกัน

วิธีบรรเทาอาการ

– รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก เช่น ตับ ผักใบเขียว อาหารที่มีโปรตีน และวิตามินสูง
– พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ไม่หักโหม เช่น เปลี่ยนจากวิ่งมาเป็นเดินช้า ๆ และทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส
– ทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติ แต่ปรับให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย

วิธีการรักษา โดยการให้เลือด หรือยาฉีดกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งทั้งหมดนี้จะขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์โดยประเมินจากสภาวะของผู้ป่วย

มีจุดเลือดหรือจ้ำเลือด

อาการ มีจุดเลือดหรือจ้ำเลือดขึ้นตามตัว เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน มีจุดแดงเล็ก ๆ ที่ตาขาว ลำตัว แขน และขา ประจำเดือนมามาก หากเป็นแผลเลือดออก
เลือดจะหยุดไหลได้ช้า แม้ว่าจะเป็นแผลขนาดเล็กก็ตาม
สาเหตุ เกิดจากจำนวนเกล็ดเลือดต่ำหลังได้รับยาเคมีบำบัด

วิธีป้องกันการเกิดแผลเลือดออกหรือบรรเทาอาการ

– หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดบาดแผล หรือเกิดการบาดเจ็บ เช่น ปั่นจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซด์ ตัดไม้ผ่าฟืน ตัดเย็บเสื้อผ้า หรือทำฟัน
– เลือกการออกกำลังกายเบา ๆ ไม่หักโหม เช่น เดิน ว่ายน้ำ เป็นต้น
– ใช้ที่โกนหนวดไฟฟ้าแทนใบมีดโกน เพราะทำให้เกิดแผลน้อยกว่า
– ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม ๆ
– ไม่ควรซื้อยากินเอง เช่น แอสไพริน ยาแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อบางชนิดที่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร เพราะจะไปรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือด
และทำให้เลือดออกในทางเดินอาหารได้
– งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

วิธีการรักษา แพทย์อาจพิจารณาให้เกล็ดเลือดในรายที่มีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ และ/หรือมีอาการเลือดออก

คำแนะนำเรื่องโภชนาการสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด

เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดเป็นผู้ป่วยนอก ดังนั้นจึงควรเตรียมอาหารและของว่างมาด้วย หากการให้ยาเคมีต้องใช้ระยะเวลาที่นาน บางโรงพยาบาลมีการอำนวยความสะดวกโดยมีตู้เย็น และเครื่องไมโครเวฟไว้ให้บริการ

  • ควรรับประทานอาหารว่างหรืออาหารเบาๆ ก่อนให้ยาเคมีบำบัด
  • การพักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์สามารถช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้เป็นอย่างดี
  • หากรู้สึกไม่อยากอาหารหลังจากได้รับยาเคมีบำบัด ก็ไม่ควรฝืนรับประทานซึ่งแก้ไขได้ด้วยการรับประทานทีละน้อยบ่อยๆ หรือเลือกรับประทานอาหารที่ชอบในระหว่างการรักษา
  • ควรรับประทานอาหารตามปกติหากสามารถทำได้ ที่สำคัญคือ ไม่ควรฝืนรับประทานอาหารที่ไม่ชอบหรือเมื่อยังรู้สึกอิ่มอยู่
  • อย่าเกรงใจที่จะขอให้ญาติและเพื่อนๆ มีส่วนช่วยในการเลือกซื้อ และเตรียมอาหาร หรือหากอยู่คนเดียวก็อาจสั่งอาหารมารับประทานที่บ้านหรือออกไปรับประทานอาหารกับเพื่อนบ้าง

ผลข้างเคียงจากการรักษา ส่วนใหญ่เป็นแบบชั่วคราวเท่านั้น หากอาการไม่หายไป ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบเพื่อดำเนินการรักษาต่อไป

การดูแลตนเอง เมื่อเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน

  • ในผู้ป่วยที่ต้องควบคุมอาหาร เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรมีการปรับเปลี่ยนอาหารตามความเหมาะสม โดยปรึกษากับทีมแพทย์ผู้ให้การรักษา
  • ควรแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ และบ่อยๆ แทนที่จะเป็นมื้อหลัก 3 มื้อตามปกติ
  • ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและพลังงานสูง
  • สามารถรับประทานอาหารเสริมควบคู่ไปด้วย โดยสามารถสอบถามรายละเอียดได้จากทีมผู้ให้การรักษา
  • สามารถรับประทานอาหารเสริมควบคู่ไปด้วย โดยสามารถสอบถามรายละเอียดได้จากทีมผู้ให้การรักษา

ในแต่ละวันหากช่วงเวลาใดที่สามารถทานได้ ควรรับประทานให้เพียงพอ ซึ่งส่วนใหญ่มื้อเช้าจะเป็นมื้อที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้มาก

หากไม่สามารถรับประทานอาหารได้เพียงพอ ควรบอกแก่ทีมผู้ให้การรักษาหรือนักโภชนาการเพื่อรับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง

หากรับประทานยาแก้อาการคลื่นไส้อาเจียนไม่ได้ผล ควรแจ้งทีมผู้ให้การรักษาทราบเพื่อพิจารณาปรับยาให้เหมาะสม

วิธีบรรเทาอาการผลข้างเคียงคีโม

– รับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ขนมปัง แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารร้อนเพราะมีกลิ่น และทำให้ท่านรู้สึกอยากอาเจียนมากขึ้น
– รับประทานอาหารเหลว ใส หรือเครื่องดื่มเย็น ๆ เช่น น้ำผลไม้ น้ำขิง โดยใช้หลอดดูดแทนการดื่ม
– รับประทานทีละน้อย แต่บ่อยมื้อขึ้น
– หลีกเลี่ยงอาหารกลิ่นฉุน รสจัด อาหารมัน อาหารทอด เพราะจะทำให้ท่านรู้สึกอยากอาเจียนมากขึ้น
– ทำความสะอาดปากและฟันหลังทานอาหารทุกมื้อด้วยน้ำเกลือกลั้วปาก
– พักผ่อนมาก ๆ หากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือดูรายการโทรทัศน์ที่ชอบ
– รับประทานยาแก้คลื่นไส้อาเจียนตามแพทย์สั่ง

อาการข้างเคียงดังต่อไปนี้ควรพาผู้ป่วยไปพบแพทย์

  • ท่านควรรีบมาพบแพทย์ทันทีถ้ามีอาการดังต่อไปนี้
    • มีอาการซีดมาก อ่อนเพลียมาก เหนื่อยหอบ หรือหน้ามืดมีไข้ (วัดไข้ซ้ำอีกครั้งใน 1 ชั่วโมงต่อมา หากยังมีไข้ให้รีบมาโรงพยาบาลทันที โดยห้ามกินยา
      ลดไข้เด็ดขาด) หรือมีอาการหนาวสั่น ปวดศีรษะ โดยเฉพาะเมื่อมีไข้ในช่วง 7-14 วัน หลังได้รับยาเคมีบำบัด
    • มีจุดเลือดจ้ำเลือดขึ้นตามตัว หรือมีเลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล มีจุดแดงที่ตาขาว ลำตัว แขน และขา
    • อาการข้างเคียงต่าง ๆ มีความรุนแรงมากขึ้น เช่น ท้องเสียรุนแรง ปวดศีรษะรุนแรง
    • น้ำหนักเพิ่มขึ้น หรือลดลงอย่างรวดเร็ว
    • มีผื่น หรือตุ่มขึ้นตามร่างกาย
    • สูญเสียการทรงตัว

แจ้งแพทย์หรือพยาบาลหากมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก และไม่สามารถควบคุมได้

ข้อมูลบางส่วนคัดกรองมากจาก : chulacancer.net