มะเร็งโรคร้ายที่ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคมะเร็งเองหรือเกิดขึ้นกับคนในครอบครัว ก็ล้วนสร้างความทุกข์ใจให้กับทุกคนทั้งสิ้น แต่เราไม่ได้เป็นคนเลือกมะเร็ง แต่มะเร็งต่างหากที่เป็นคนเลือกเราเอง ฉะนั้นถ้าเลือกไม่ได้หากมันเกิดขึ้นแล้วก็จงอยู่กับมันอย่างมีความหวังและมีความสุข เพราะปัจจุบันการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก โรคมะเร็งจึงไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป มีวิธีรักษาที่มอบโอกาสหายขาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการให้คีโมหรือยาเคมีบำบัดเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาที่จะช่วยปกป้องคุณจากโรคร้ายนี้ได้ แต่ด้วยฤทธิ์ของยาเคมีบำบัดที่เข้าไปทำลายเซลล์มะเร็ง อาจส่งผลกระทบต่อเซลล์ปกติของร่างกาย จนทำให้หลังให้คีโมผลข้างเคียงที่ตามมาส่งผลต่อผู้ป่วยไม่น้อยเลยทีเดียว
มาดูกันว่า 5 อาการหลัก ๆ หลังให้คีโมที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องเจอจะมีอะไรบ้าง พร้อมวิธีบรรเทาอาการให้สามารถผ่านช่วงเวลาทรมานนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากมากนัก
5 อาการที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องเจอหลังให้คีโมผลข้างเคียงที่คุณเตรียมรับมือได้
1.ผมหลุดร่วง (คีโมผลข้างเคียง)
ผมร่วง คือ หนึ่งในอาการที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องเจอหลังให้คีโมผลข้างเคียงที่ทำร้ายจิตใจผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ป่วยผู้หญิงมากพอสมควร แต่คุณสามารถตั้งรับผลข้างเคียงนี้ได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
– ใช้แชมพูเด็กที่มีฤทธิ์อ่อน ๆ
– เปลี่ยนจากการใช้หวีมาเป็นใช้แปรงนุ่ม ๆ หวีผมแทน และไม่ต้องหวีบ่อย
– ใส่น้ำมันบำรุงเส้นผมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเส้นผมและหนังศีรษะ
– หากหลุดร่วงมากให้ตัดผมสั้น หรือโกนผม เพื่อให้ง่ายต่อการดูแล
– หันมาเสริมความงามให้กับศีรษะด้วยวิกผม ที่ปัจจุบันมีแบบสวย ๆ และเหมือนผมจริงให้เลือกมากมาย
2.คลื่นไส้ อาเจียน (คีโมผลข้างเคียง)
หลังให้คีโมประมาณ 3 ชั่วโมงแรก หรือนานกว่านั้น โดยแตกต่างกันไปตามสุขภาพของผู้ป่วย ผู้ป่วยจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เรอเปรี้ยวออกมา เนื่องจากผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดที่ได้รับ รวมไปถึงความเครียดที่เกิดจากการให้คีโมผลข้างเคียงจึงแสดงออกมาในลักษณะนี้ ซึ่งสามารถป้องกันหรือบรรเทาอาการ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
– ทานอาหารเหลวที่ย่อยง่าย รสชาติจืด ไม่จัดจ้าน
– หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นรุนแรง เพราะจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
– รับประทานครั้งละน้อย ๆ แต่ทานบ่อย ๆ
– แปรงฟันหลังมืออาหารทุกครั้ง
– ทานยาแก้อาเจียนที่แพทย์ให้มา
3.มีจ้ำเลือดบนผิวหนัง (คีโมผลข้างเคียง)
คีโมที่ให้จะส่งผลข้างเคียงทำให้เกล็ดเลือดต่ำ เลือดจึงหยุดไหลช้า รวมถึงเกิดรอยจ้ำเลือดตามตัว วิธีบรรเทาอาการสามารถทำได้ดังนี้
– ระวังตัวให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงการกระทำที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดแผล ตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ อาทิ เปลี่ยนมาใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม เปลี่ยนมีดโกนจากใบมีดโกนเป็นที่โกนหนวดไฟฟ้า รวมถึงกิจกรรมผาดโผนที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเลือดตกยางออก
– หลีกเลี่ยงการซื้อยาทานเอง โดยเฉพาะยาประเภทแอสไพริน ยาแก้ปวดต่าง ๆ เพราะกลุ่มยาประเภทนี้จะส่งผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด
4.ระบบขับถ่ายผิดปกติ (คีโมผลข้างเคียง)
การให้คีโมผลข้างเคียงเกิดขึ้นกับระบบต่าง ๆ ในร่างกายหลาย ๆ ส่วน ไม่เว้นแม้แต่ระบบขับถ่ายที่อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก หรือท้องร่วงได้ โดยวิธีบรรเทาอาการมีดังนี้
– เลือกทานอาหารที่ดีต่อระบบขับถ่าย ย่อยง่าย สุก สดใหม่ และสะอาด
– ดื่มน้ำมาก ๆ เพิ่มน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพเสริมเข้าไป
– งดดื่มนมและของกินต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมของนม เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้แลคโตสได้
– ถ้าอาการยังรุนแรงเกิน 3 วัน ควรรีบติดต่อแพทย์โดยด่วน
5.เกิดแผลในช่องปาก (คีโมผลข้างเคียง)
แผลในช่องปากเป็นอีกหนึ่งอาการที่เกิดหลังให้คีโมผลข้างเคียงที่ทำให้คุณทานอาหารได้น้อยลง แต่ก็ยังสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
– เปลี่ยนมาใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงนุ่มอ่อน
– ทานอาหารอ่อนที่มีอุณหภูมิห้อง ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป
– งดทานอาหารรสจัด
– ดื่มน้ำมาก ๆ และทาลิปมันอยู่ตลอด
– บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าเรื่อย ๆ เพื่อให้ภายในช่องปากชุ่มชื้น
– งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
แม้หลังให้คีโมผลข้างเคียงอาจจะทำให้ผู้ป่วยวิตกกังวลจนเกิดอาการเครียดอยู่บ้าง แต่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ นำวิธีที่เรานำมาฝากช่วยบรรเทาอาการให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ง่ายขึ้น เพราะผลข้างเคียงที่เกิดนี้เป็นเพียงแค่อาการชั่วคราวเท่านั้น พอยาหมดฤทธิ์อาการจะหายไปและร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยมีอาการแพ้คีโมรุนแรง แนะนำว่าควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
I.M.U.RA 
ในอาหารเสริมเพิ่มภูมิคุ้มกัน I.M.U.RA นั้นมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายในการเพิ่มภูมิคุ้มกันถึง 9 ชนิด เรามาดูกันว่าแต่ละชนิดนั้นมีคุณสมบัติอย่างไร
ส่วนประกอบสารสกัดที่สำคัญ
Grape Skin Extract
มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ อีกทั้งยังปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน NK Cell เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
Cranberr Extract
มีคุณสมบัติช่วยลด Creatinine ในผู้ป่วยเบาหวานและมีสารโพลีฟีบอลที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์จากความเสื่อมและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย
Berry Extract
มีคุณสมบัติ Anthocyanins ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นการสร้างภูมิคุมกันอีกทั้งยังช่วยยับยั้งไวรัสได้ในระดับดีอีกด้วย
Magnesium Amino Acid Chelated
มีคุณสมบัติช่วยในการนอนหลับ โดยเป็นตัวที่ช่วยในการสร้างสารเมลาโทนิน ช่วยปรับสมดุลเซโรโทนินในร่างกายให้หลับลึกสบาย ช่วยให้ร่างกายเกิดการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ในขณะที่ร่างได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่จะทำให้ร่างกายฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
D Salina
คุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้าง โกรทแฟคเตอร์ ซึ่งเป็นตัวช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่ออื่นๆ
Inulin
คุณสมบัติส่งเสริมให้จุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้เจริญโต ช่วยป้องกันการติดเชื้อและปรับสภาวะสมดุลของลำไส้ ทำให้ช่วยลดอาการท้องผูก อันเป็นสาเหตุที่อาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้
Vitamin B
คุณสมบัติในการรักษาสุขภาพช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง อีกทั้งวิตามินบียังช่วยเรื่องของการทำงานสมองและบำรุงระบบประสาท คนที่มีอาการมือชา เท้าชา หรือปวดเมื่อยตามนิ้วมือนิ้วเท้า หรือข้อต่างๆ นั่นคือสาเหตุของการขาดวิตามิน B นั่นเอง
Vitamin C
คุณสมบัติของวิตามินซี นอกจากจะมีสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังชะลอความเสื่อมของเซลล์ กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันและ NK Cell แล้ว ยังช่วยเรื่องของชะลอวัย ช่วยเรื่องผิวพรรณให้มีชีวิตชีวาขึ้นอีกด้วยค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างคะ สารอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายทั้ง 9 ชนิดเรียกได้ว่าสารอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกันเหล่านี้เราคงไม่สามารถที่จะหาอาหารที่มีความสมบูรณ์ครบองค์ประกอบทั้งหมด เพื่อนำรับประทานให้ได้ปริมาณที่เพียงพอ ดังนั้นการทานอาหารเสริมเพิ่มภูมิคุ้มกัน จึงมีความจำเป็นเพราะในสารอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกันในเครื่องดื่ม I.M.U.RA นั้นเราสกัดจากสารอาหาร ที่ให้ความเป็นธรรมชาติและคงความสมบูรณ์ของวิตามินแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายสามารถดึงไปใช้ได้ในทันทีหลังจากที่ดื่ม ดังนั้นการดื่มอาหารเสริมเพิ่มภูมิคุ้มกัน NK Cell ของ I.M.U.RA นั้นให้ดื่มขณะตื่นนอนดีที่สุดเพราะร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที
อาหารเสริมจะใช้ได้ผลหรือดูดซึมได้ดีนั้นต้องประกอบกับร่างกายของแต่ละบุคคล ผลลัพธ์จะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับการทานอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 6-12 เดือน จึงเห็นผลที่แน่ชัดที่สุด อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค จึงควรทานคู่กับยาที่แพทย์สั่งทุกครั้งโดยเว้นระยะห่างจากการดื่มอาหารเสริม 1-2 ชม.